ตอนที่ 1

4310 คำ
​ บทที่ 1 เจ้าชายแสนเพอร์เฟกต์ &สาวน้อยผู้อาภัพ ภายในงานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์ของนิตยสารไฮโซฉบับหนึ่งที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อมอบรางวัลให้แก่บุคคลในสังคมชั้นสูงและเหล่าเซเลบริตี้ในด้านสาขาต่างๆ คลาคล่ำไปด้วยเหล่านักธุรกิจและสาวสังคมที่ต่างตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อพบปะสังสรรค์รวมถึงบรรดาคุณแม่ที่พาลูกสาวออกงานเพื่อหวังจะแนะนำให้เป็นที่รู้จักและมองหาว่าที่คู่ครองที่เหมาะสมและคู่ควรไปด้วยในตัว ฉะนั้นทุกคนจึงพากันประโคมเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายแบรนด์ดังที่เทียบมูลค่าแล้วอาจเท่ากับรายได้ที่คนหาเช้ากินค่ำหาได้ทั้งปีเสียอีก และหนึ่งในแขกที่มาร่วมงานก็คือสามหนุ่มที่บรรดาผู้สื่อข่าวสายสังคมขนานนามว่าแก๊งค์หนุ่มในฝันที่มีด้วยกันสามคนคือ ธีรภัทร ตติยะ และคีตภัทร สองหนุ่มแรกนั้นดับฝันสาวๆ ทั้งประเทศด้วยการลั่นระฆังวิวาห์ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนซึ่งเป็นการสร้างตำนานรักสะเทือนวงการระหว่างเจ้าชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมกับซินเดอเรลล่าสาวสวยสองคนที่เป็นหญิงสาวธรรมดาอย่างลดาวดีและเจนิตาซึ่งปัจจุบันทั้งคู่ต่างมีโซ่ทองคล้องใจไปแล้วเรียบร้อย ความหวังของสาวๆ ในสังคมจึงพุ่งมาที่คีตภัทรหนุ่มหล่อเจ้าของห้างสรรพสินค้า The Chic ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทยรวมถึงกำลังขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าคีตภัทรจะลงเอยกับผู้หญิงคนไหนนอกจากควงไปเรื่อยๆ เบื่อก็แยกย้ายทางใครทางมัน เสียงถอนหายใจของตติยะทำให้ทั้งคีตภัทรและธีรภัทรหันไปมองพร้อมกัน “เป็นอะไรของแกวะไอ้เต้” คีตภัทรถามเพื่อนอย่างสงสัยเมื่อเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของตติยะที่เมื่อก่อนชื่นชอบนักหนากับการออกงานสังคมและมักเป็นฝ่ายชวนเขากับธีรภัทรไปร่วมงานทุกครั้งอย่างไม่ยอมพลาด “เบื่อ อยากกลับบ้าน คิดถึงเมีย” ตติยะตอบอย่างที่ใจคิดเพราะหลังจากแต่งงานเขาก็กลายเป็นคนรักครอบครัวและตัวติดกับภรรยาอย่างเจนิตาชนิดแทบไม่เคยห่างกันไปไหนนอกจากเวลาไปทำงาน “น้อยๆ หน่อยไอ้เต้ แกเพิ่งจะห่างคุณเจนมาไม่ถึงชั่วโมง” คีตภัทรว่าเพื่อนอย่างหมั่นไส้ “แกไม่มีเมียไม่เข้าใจหรอกไอ้คีย์ การที่ต้องห่างเจนแค่หนึ่งนาทีก็นานเหมือนหนึ่งชั่วโมงแล้ว” “ถ้ามันขนาดนั้นแกก็กลับไปเถอะ ฉันอยู่กับไอ้ธีก็ได้” “ฉันก็คิดถึงลดากับลูกเหมือนกัน” ธีรภัทรตอบทำให้คีตภัทรมองเพื่อนทั้งสองอย่างไม่อยากจะเชื่อกับความหลงลูกหลงเมียขนาดหนักชนิดที่ว่าถ้าเขาไม่คบกับทั้งสองมาตั้งแต่เด็กคงไม่มีทางเชื่อแน่ๆ ว่าทั้งตติยะและธีรภัทรจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่จากที่เห็นเขาก็ต้องเชื่อว่าเสือร้ายทั้งสองถอดเขี้ยวเล็บกลายเป็นแมวเชื่องๆ เรียบร้อยโรงเรียนลดาวดีและเจนิตาไปแล้ว “ถ้างั้นแกสองคนกลับไปเถอะ ฉันอยู่ของฉันคนเดียวได้” “โถ่ หัวก็ไม่ล้านทำเป็นใจน้อยไปได้” ธีรภัทรแกล้งแหย่เพื่อน “ฉันไม่ได้ใจน้อย แต่ฉันขี้เกียจมองหน้าซังกะตายของพวกแกสองคน เห็นแล้วพาลกินอะไรไม่ลง” คีตภัทรหันไปหยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะขึ้นจิบระหว่างดูการแสดงบนเวที “ที่ไล่ฉันสองคนกลับเนี่ยเพราะเจอเหยื่อที่จะมานั่งเป็นเพื่อนแล้วใช่ไหม” ตติยะถามเมื่อเห็นว่าสาวสวยนางหนึ่งซึ่งเขาคุ้นหน้าว่าเป็นลูกสาวคุณหญิงเจ้าของร้านเพชรเพียรส่งสายตาทอดสะพานให้คีตภัทรตั้งแต่เข้ามาในงาน คีตภัทรมองตามพลางส่งยิ้มให้สาวเจ้าแล้วหันมายักไหล่ให้เพื่อนสนิททั้งสอง “หมั่นไส้คนเสน่ห์แรง” ธีรภัทรแสร้งว่า “คนมันหล่อช่วยไม่ได้ แกสองคนแต่งงานแล้วหมดสิทธิ์นั่งนับเวลารอกลับบ้านไป” “เออ ไอ้คนหล่อ วันไหนแกมีเมียแล้วกลายร่างจากเสือมาเป็นแมวแบบที่แกชอบว่าพวกฉันนะ วันนั้นฉันจะจัดงานฉลองต้อนรับเข้าสมาคมให้อย่างยิ่งใหญ่เลย” ตติยะว่าอย่างหมั่นไส้แล้วหยุดสนทนาเพียงเท่านั้นเมื่อบนเวทีเริ่มประกาศรางวัลให้กับเหล่าผู้มาร่วมงานในคืนนี้ ทั้งสามหนุ่มนั่งชมการแสดงและปรบมือแสดงความยินดีให้กับผู้ที่ได้รับรางวัลจากสาขาต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่พวกเขารู้จักคุ้นเคยดีจากการติดต่อร่วมธุรกิจและออกงานสังคมต่างๆ การประกาศรางวัลดำเนินไปอย่างต่อเนื่องซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้ผู้มาร่วมงานได้ไม่น้อยจนกระทั่งถึงรางวัลสำคัญนั่นคือรางวัลนักธุรกิจเจ้าเสน่ห์ซึ่งเปิดให้สาวๆ ทั่วประเทศร่วมโหวต *“และแล้วก็มาถึงรางวัลที่เป็นไฮไลต์ของเราในค่ำคืนนี้นะครับ รางวัลที่ผมจะประกาศต่อไปนี้คือรางวัลนักธุรกิจเจ้าเสน่ห์ ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลคือผู้ที่ได้รับการโหวตจากสาวๆ ทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์**High Society**ที่ทางนิตยสาร High Society**เปิดให้โหวตตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ได้แก่...” พิธีกรเว้นจังหวะให้นักดนตรีได้บรรเลงเพื่อความตื่นเต้น “คุณคีตภัทร์ พิพัฒน์เดชา ขอเสียงปรบมือด้วยครับ”*ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศของพิธีกรชื่อดังบนเวทีเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งห้องจัดเลี้ยงภายในโรงแรมหรูแห่งนี้ คีตภัทรยืนขึ้นโค้งคำนับให้ทุกคนและพาร่างสูงใหญ่ภายใต้สูทสีดำสนิทเดินก้าวไปบนเวทีอย่างมั่นใจ ใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยากบวกกับชุดสูทสีดำสุดเนียบและท่วงท่าการเดินอันงามสง่าทำให้สาวๆ ภายในงานมองตามตาปรอย “*คุณคีตภัทร พิพัฒน์เดชา ชายหนุ่มสุดหล่อที่คว้ารางวัลนี้ไปครอบครองไม่ใช่ใครที่ไหนครับทุกท่าน คุณคีตภัทรเป็นประธานบริหารแห่ง**The Chic Group**เจ้าของห้างสรรพสินค้าสุดหรูที่มีสาขาอยู่ทั่วเมืองไทยและกำลังขยายสาขาไปยังประเทศใกล้เคียงซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านเลยทีเดียว สาวๆคนไหนสนใจยื่นไปสมัครได้เลยนะครับ”*พิธีกรกล่าวถึงประวัติของคีตภัทรเพียงเล็กน้อยเพราะทราบดีว่าทุกคนในที่นี้รู้จักชายหนุ่มเป็นอย่างดีอยู่แล้ว คีตภัทรรับมอบถ้วยรางวัลจากเจ้าของนิตยสารและเดินไปกล่าวขอบคุณยังโพเดียมที่เตรียมไว้ “ขอบคุณทุกคนที่โหวตให้ผมได้รับตำแหน่งนี้นะครับ ขอบคุณมากครับ” คีตภัทรกล่าวขอบคุณเพียงสั้นๆ ตามประสาคนพูดน้อยแต่รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากบวกกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มก็ทำให้สาวๆ ในงานเคลิ้มตามราวโดนมนต์สะกด ชายหนุ่มก้าวลงจากเวทีและเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเองโดยทำเป็นไม่เห็นสายตาทอดสะพานจากหญิงสาวหลายคนที่ส่งมาให้ระหว่างทาง “ยินดีด้วยครับพ่อหนุ่มเจ้าเสน่ห์” ตติยะแสดงความยินดีกับเพื่อน “เออ ขอบใจ” “แต่อันที่จริงฉันว่าแกน่าจะได้รางวัลอื่นมากกว่า” ธีรภัทรออกความเห็น “รางวัลอะไรวะไอ้ธี” ตติยะหันไปถามเพื่อนอย่างสงสัย “เพลย์บอยล่าสวาท” ธีรภัทรและตติยะหัวเราะออกมาพร้อมกันกับตำแหน่งที่ธีรภัทรมอบให้เพื่อน “ไอ้บ้าธี ทำมาปากดีเมื่อก่อนแกกับฉันก็ไม่ต่างกันหรอก รวมทั้งแกด้วยไอ้เต้” “นั่นมันเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ฉันเลิกเด็ดขาดแล้วโว้ย” ตติยะแก้ต่าง คีตภัทรหมั่นไส้เพื่อนจึงทำทีหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาใครบางคน “แกจะโทรหาใคร” ตติยะถามอย่างสงสัย “ฉันจะโทรหาคุณเจนสักหน่อย” “แกจะโทรหาเมียฉันทำไม” “ฉันก็จะโทรไปในฐานะผู้หวังดีว่าเมื่อกี้ฉันเห็นสาวๆ โต๊ะข้างหลังส่งยิ้มให้แล้วแกก็ยิ้มตอบซะด้วย” “ไอ้บ้าคีย์ แกวางโทรศัพท์ลงเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันแค่ยิ้มตอบตามมารยาท” “ก็ไม่เป็นไร ฉันก็แค่อยากเล่าให้คุณเจนฟัง ส่วนแกก็กลับไปแก้ตัวกับคุณเจนเองสิ” “ถ้าแกพูดแบบนั้นฉันคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้อ้าปาก แกวางโทรศัพท์ลงเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้คีย์” ตติยะพยายามแย่งโทรศัพท์จากมือของคีตภัทรแต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ “แกสองคนนี่เล่นกันเป็นเด็กๆ เลิกแกล้งมันได้แล้วไอ้คีย์ แค่นี้มันก็ขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้ว” ธีรภัทรปรามเพื่อนทั้งสองทำให้คีตภัทรและตติยะหยุดยื้อแย่งโทรศัพท์กันในทันที “ถ้าไม่เห็นกับตาฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่านี่คืออดีตเสือร้ายแห่งวงการ แกกลัวคุณเจนขนาดนี้เลยเหรอวะ” คีตภัทรกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะขณะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อสูท “ฉันไม่ได้กลัว แต่เกรงใจโว้ย” ตติยะเถียง เขาไม่ขอเสี่ยงให้มีเรื่องแบบนี้ไปเข้าหูเจนิตาเด็ดขาด คราวก่อนที่มีข่าวนางแบบพรีเซนเตอร์ของโครงการหมู่บ้านจัดสรรมาที่เขาเป็นเจ้าของมาอ่อยแล้วมีผู้หวังดีส่งภาพที่อีกฝ่ายเซจะล้มแล้วเขาเข้าไปประคองยังทำเอาบ้านเกือบแตก ครั้งนั้นเขาต้องนอนนอกห้องถึงหนึ่งอาทิตย์ คนไม่มีเมียอย่างคีตภัทรจะไปเข้าใจอะไรว่าการนอนนอกห้องโดยไม่ได้กอดเมียมันทรมานขนาดไหน แถมเมียยังขยันส่งรูปตัวเองใส่ชุดนอนเซ็กซี่ขยี้ใจมายั่วทุกคืนจนเขาต้องตะกายผนังอย่างสุดแสนทรมาน ครั้งนั้นทำให้เขาเข็ดจนตายไม่กล้าทำอะไรที่ซุ่มเสี่ยงต่อการถูกเมียลงโทษอีกแล้ว “ไม่กลัวแต่เกรงใจประโยคสุดคลาสสิคของพวกกลัวเมียสินะ” คีตภัทรยังไม่วายตอกย้ำ “ปากดีไปเถอะไอ้คีย์ อย่าให้ถึงตาแกบ้างก็แล้วกัน ฉันจะยุเมียแกให้เล่นงานแกบ้างคอยดู” “ไม่มีทาง” คีตภัทรยักไหล่ “ขอขัดจังหวะหน่อย ฉันแค่อยากบอกว่าไอ้ท่าทางมั่นใจแบบนี้ไอ้เต้เคยทำมาก่อน แล้ววันนี้มันมีสภาพยังไงแกคงเห็นอยู่แล้วนะ” ธีรภัทรบอกกับคีตภัทร “แกอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะไอ้ธี” ตติยะว่าเพื่อนที่พูดตอกย้ำความกลัวเมียของเขาให้คีตภัทรรู้ “อ้าว ฉันก็แค่เตือนให้มันดูแกเป็นตัวอย่าง ฉันพูดผิดตรงไหน” ธีรภัทรถามหน้าตาย “ไม่ผิดเลยเพื่อน แต่ช่วยพูดเรื่องอื่นกันบ้างได้ไหม พูดเรื่องนี้แล้วฉันรู้สึกใจคอไม่ดี” “โถ่เอ๊ย ไอ้เต้ แล้วทำเป็นปากดีว่าไม่ได้กลัวเมีย” คีตภัทรตอกย้ำแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น กว่างานเลี้ยงค่ำคืนนั้นจะจบลงทั้งธีรภัทรและตติยะก็บ่นอุบเพราะอยากกลับไปนอนกอดเมียทำให้คีตภัทรทั้งรำคาญและหมั่นไส้เพื่อนรักของตัวเองเป็นอย่างมาก สุดท้ายเขาก็ไล่สองคนนั้นกลับไปก่อนส่วนตัวเองนั้นหันไปส่งสายตาให้หญิงสาวโต๊ะข้างๆ อย่างรู้กันว่าค่ำคืนนี้ทั้งคู่จะไปลงเอยที่ไหน หน้าบ้านหลังเล็กกะทัดรัดในยามเช้าตรู่ปรากฏร่างหญิงสาวบอบบางกำลังตักบาตรซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวัน อมิตา พรทวี หญิงสาวเจ้าของรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นและใบหน้ารูปไข่สวยชนิดคนมองต้องเหลียวหลัง ใบหน้าเนียนสวยนั้นประกอบไปด้วยดวงตายาวรีรับกับจมูกโด่งและริมฝีปากบางสีชมพูสดอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องอาศัยลิปสติกเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวเก็บของเข้าบ้านเมื่อไหว้พระรับพรเสร็จสิ้น “ไม่รู้จะขนเอาของดีๆ ไปใส่ทำไมให้สิ้นเปลือง พ่อแม่แกมันตายไปตั้งนานแล้วคงจะไม่มาเฝ้ารอกินของเซ่นไหว้จากแกอยู่หรอก” บุหงากล่าวกระแนะกระแหนหลานสาวของสามีซึ่งเธอไม่ชอบขี้หน้าและอยากกำจัดออกไปให้พ้นจากบ้านอยู่ทุกวันแต่ติดตรงที่สามีของเธอไม่ยอม “หนูอิมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” อมิตาเลือกที่จะไม่ตอบโต้เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์หากมีเรื่องมีราวขึ้นมาเธอก็ต้องเป็นฝ่ายผิดเสมอ “จองหอง ทำเป็นอวดดีไปเถอะ ฉันจะต้องหาทางกำจัดแกออกจากบ้านนี้ไปให้ได้” บุหงาบอกกับตัวเองขณะมองตามอมิตาที่เดินขึ้นชั้นบนไปอย่างเกลียดชัง อมิตาเดินเข้ามาภายในห้องนอนและเดินไปนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย มือบางเอื้อมไปหยิบกรอบรูปครอบครัวซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียวของเธอมากอดเอาไว้พร้อมๆ กับหยาดน้ำตาที่ไหลรินไหล่บอบบางสั่นไหวด้วยแรงสะอื้น “พ่อขา แม่ขา หนูอิมคิดถึงพ่อกับแม่” อมิตาใช้นิ้วมือลูบไล้ไปบนรูปถ่ายที่มีบิดามารดาของเธอนั่งเคียงข้างกันโดยมีเธอซึ่งยังเป็นทารกอยู่ในอ้อมกอดของมารดา หญิงสาวปล่อยความคิดให้หวนสู่อดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง ครอบครัวของเธออยู่กันอย่างเรียบง่ายมีความสุขจนกระทั่งเมื่อเธอมีอายุครบสิบสองปีบิดามารดาก็จากไปด้วยอุบัติเหตุพร้อมๆ กัน อมิตารู้สึกว่าโลกทั้งใบของเธอมันถล่มลงมาต่อหน้า หญิงสาวรู้สึกหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เด็กผู้หญิงอายุสิบสองปีที่ต้องกำพร้าพ่อและแม่อย่างกะทันหันไม่ต่างจากเรือลำน้อยที่ลอยคว้างอยู่กลางคลื่นลมโดยไม่มีจุดหมาย อมิตาจำได้ดีว่าเธอนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าโลงศพของบิดามารดาจนเป็นที่เวทนาต่อแขกที่มาร่วมงาน ในตอนนั้นเธอจำได้ดีว่ามีเพียงนายอำนาจผู้เป็นพี่ชายของมารดาและเป็นลุงแท้ๆ ของเธอคอยปลอบโยนอยู่เคียงข้างและรับเธอมาอุปการะในขณะที่ญาติๆ คนอื่นต่างพากันหนีหน้าเพราะไม่อยากหาภาระให้ตัวเอง อมิตาจำได้ดีว่านางบุหงาป้าสะใภ้และครองขวัญลูกสาวคนเดียวของผู้เป็นลุงค้านหัวชนฝาไม่ให้รับเธอมาเลี้ยงโดยเสนอให้ส่งเธอให้กับบ้านเด็กกำพร้าแต่ลุงของเธอไม่ยอมจนทำให้ลุงและป้าสะใภ้ทะเลาะกันใหญ่โต อมิตาซึ่งโตพอที่จะรับรู้อะไรๆ ได้จึงเดินไปบอกกับผู้เป็นลุงด้วยน้ำเสียงแสนเศร้า *“คุณลุงขา อย่าทะเลาะกับป้าบุหงาเลยนะคะ หนูอิมไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ได้ค่ะ คุณลุงไปส่งหนูอิมทีนะคะ” อมิตาจำได้ว่าเธอเดินไปบอกกับผู้เป็นลุงแบบนั้นโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านเด็กกำพร้านั้นอยู่ที่ไหน และเธอจะต้องเจอกับอะไรบ้างถ้าไปอยู่ที่นั่น แต่เพราะความเจียมตัวและไม่อยากให้ผู้เป็นลุงต้องเดือดร้อนเด็กน้อยวัยสิบสองปีจึงยินยอมที่จะไปแต่โดยดี “ไม่ได้ หนูอิมเป็นหลานของลุง ตราบใดที่ลุงยังมีชีวิตอยู่ลุงจะไม่ยอมให้หนูอิมต้องไปตกระกำลำบากแบบนั้นเด็ดขาด หลานคนเดียวจะไม่มีปัญญาเลี้ยงก็ให้มันรู้ไป”*ลุงของเธอประกาศต่อหน้าภรรยาและลูกสาวด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทั้งสองไม่กล้าขัดได้แต่แสดงอาการไม่พอใจและนำความโกรธเหล่านั้นมาลงที่เธอเสมอเมื่อลับสายตาผู้เป็นลุง ‘กาฝาก’ คำคำนี้ที่นางบุหงาและครองขวัญพูดกรอกหูเธออยู่ทุกวัน ซึ่ง อมิตาทำได้เพียงเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจเอาไว้และแอบมาร้องไห้คนเดียวเสมอมา ตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของลุงอมิตาก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวและช่วยงานในบ้านทุกอย่างเท่าที่เด็กวัยสิบสองปีจะทำได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจแก่นางบุหงาซึ่งมักจะหาเรื่องมาต่อว่าเธออยู่เสมอ และเมื่อผู้เป็นลุงไม่อยู่อมิตาก็มักจะโดนรังแกจากครองขวัญผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอแต่อีกฝ่ายไม่เคยคิดเช่นนั้น ครองขวัญพูดอยู่เสมอว่าเธอเป็นกาฝากที่มาแย่งความรักจากบิดาและทำให้บิดาของตัวเองต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูเธอ อะไรที่อีกฝ่ายควรจะได้ก็ไม่ได้เพราะบิดาต้องประหยัดเพื่อนำเงินนั้นไว้ส่งเสียเธอเรียน อมิตาได้แต่ก้มหน้ารับฟังคำกระทบกระเทียบเสียดสีนั้นเสมอมาและพยายามเอาความดีเข้าสู้ด้วยการเป็นเด็กดีและทำทุกอย่างที่บุหงาและครองขวัญใช้ให้ทำแต่ก็ไม่สามารถทำให้ทั้งคู่มองเธอในแง่ดีขึ้นมาได้ อมิตาแบ่งเบาภาระผู้เป็นลุงด้วยการปฏิเสธที่จะเรียนมหาลัยเหมือนคนอื่นๆ ด้วยการสมัคเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดพร้อมๆ กับทำงานไปด้วย แม้ผู้เป็นลุงจะไม่เห็นด้วยแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถขัดความตั้งใจเธอได้ ด้วยความมุมานะและอดทนในที่สุดเธอก็สามารถเรียนจบได้ตามกำหนดในขณะที่ครองขวัญโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเพราะติดผู้ชายจนทิ้งการเรียน อมิตารู้ดีว่าผู้เป็นลุงผิดหวังกับครองขวัญมากเพียงใดแต่ไม่พูดออกมาเพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไร อมิตาตั้งใจไว้ว่าจะย้ายออกจากบ้านของผู้เป็นลุงเมื่อมีงานทำและเลี้ยงตัวเองได้เพราะไม่อยากทนฟังคำดูถูกเหยียดหยามจากบุหงาและครองขวัญอีกต่อไป อีกอย่างเธอรู้ดีว่าบุหงาและครองขวัญเองก็รอวันที่เธอจะออกไปจากบ้านหลังนี้อยู่ตลอดเวลา หลังจากเรียนจบอมิตาได้เข้าทำงานเป็นพนักงานขายน้ำหอมแบรนด์ดังที่ห้างสรรพสินค้าสุดหรูอย่าง The Chic และด้วยความประหยัดอดออมทำให้เธอสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งซึ่งเธอตั้งใจจะใช้เงินจำนวนนี้สำหรับการขยับขยายไปอยู่ข้างนอกด้วยการซื้อคอนโดห้องเล็กๆ พร้อมทั้งเก็บอีกส่วนหนึ่งไว้เป็นทุนสำรองชีวิต แต่ความฝันของเธอก็ต้องพังทลายเมื่อธุรกิจร้านอาหารของผู้เป็นลุงต้องปิดตัวลงเพราะโดนหุ้นส่วนโกงทำให้นายอำนาจกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ด้วยความเครียดทำให้นายอำนาจดื่มจนเมาและขับรถไปประสบอุบัติเหตุและผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เป็นลุงไปตลอดกาล นายอำนาจไม่สามารถเดินได้อย่างปกติเหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะระบบประสาทส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้รับความเสียหายทำให้ต้องใช้ไม้เท้าตลอดเวลา หลังจากที่ต้องกลายเป็นคนพิการนายอำนาจก็มีอาการป่วยทางใจตามมา นอกจากจะคิดว่าตัวเองเป็นภาระให้กับหลานสาวที่น่าสงสารแล้วยังตรอมใจกับการที่ภรรยาและลูกไม่สนใจใยดีทำให้อมิตาไม่อาจทิ้งผู้เป็นลุงออกไปใช้ชีวิตตามลำพังอย่างที่ต้องการได้ ส่วนนางบุหงานั้นเมื่อเสาหลักอย่างผู้เป็นสามีทำงานไม่ได้ก็ไม่คิดจะทำงานใดๆ โดยให้เหตุผลว่าแต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยต้องทำงานให้ลำบาก ถ้าสามีของนางไม่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูหลานกาฝากอย่างเธอก็คงมีเงินเก็บมากพอที่จะอยู่ได้อย่างสบายไม่ต้องตกระกำลำบากแบบนี้ อมิตาจึงไม่อาจเป็นคนอกตัญญูด้วยการทิ้งครอบครัวของผู้เป็นลุงออกไปมีชีวิตสุขสบายได้เพราะลูกสาวคนเดียวอย่างครองขวัญนั้นย้ายออกไปอยู่กับแฟนและไม่ดูดำดูดีบิดาเลยแม้แต่น้อย ส่วนนางบุหงานั้นก็เอาแต่ให้ท้ายลูกโดยไม่คิดจะช่วยแบ่งเบาภาระของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว อมิตาจึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานและดูแลผู้เป็นลุงเพื่อทดแทนบุญคุณที่ท่านชุบเลี้ยงเมื่อยามที่เธอไร้ญาติขาดมิตรหันไปทางไหนก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี อมิตาปาดน้ำตาแล้วนำกรอบรูปครอบครัววางไว้บนหัวเตียงที่เดิมแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป หลังจากแต่งตัวพร้อมไปทำงานอมิตาก็หยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องนอนและสิ่งที่เธอทำเป็นประจำก่อนออกไปทำงานคือการแวะเข้าไปดูผู้เป็นลุงในห้องนอนด้วยความเป็นห่วง “คุณลุงขา ทำอะไรอยู่คะ” อมิตาถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนเธอไม่เคยแสดงมันออกมาให้ผู้เป็นลุงเห็นเลยสักครั้งเพราะรู้ดีว่านายอำนาจคิดว่าตัวเองเป็นภาระทำให้เธอลำบากมาตลอด “หนูอิมจะไปทำงานแล้วเหรอลูก” นายอำนาจที่นั่งเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างหันมาถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ค่ะ หนูอิมจะไปทำงานแล้ว” อมิตาบอกพร้อมส่งยิ้มให้ผู้เป็นลุง “เหนื่อยไหมลูก ลุงขอโทษนะที่ลุงเป็นแบบนี้ทำให้หนูต้องเหนื่อยอยู่คนเดียวโดยที่ลุงช่วยอะไรไม่ได้เลย” “โถ่คุณลุงคะ คุณลุงพูดแบบนี้อีกแล้ว หนูอิมบอกแล้วไงคะว่าหนูอิมเต็มใจที่จะดูแลคุณลุง หนูอิมไม่ได้ลำบากอะไร หนูอิมเต็มใจค่ะ คุณลุงเลี้ยงหนูอิมมาตั้งสิบกว่าปีให้หนูอิมได้ตอบแทนคุณลุงบ้างนะคะ” “มันไม่เหมือนกันหรอกลูก ตอนนั้นลุงอยู่ในสถานะที่เลี้ยงดูหนูอิมได้สบายแล้วก็ใช่ว่าลุงจะส่งเสียหนูอิมทั้งหมดเสียที่ไหน พ่อแม่หนูอิมก็ทิ้งเงินไว้ให้ก้อนใหญ่พอสมควร ไหนจะเงินประกันชีวิตอีก ถ้าวันนั้นลุงไม่ดื่มจนเมาวันนี้ลุงคงไม่ต้องมาเป็นภาระหนูอิมแบบนี้ หนูอิมทำงานก็เหนื่อยพอแล้วไหนจะต้องมาดูแลลุงอีก แถมบุหงาเขาก็ไม่เคยช่วยอะไรหนูเลยสักอย่าง นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยัง...” นายอำนาจเงียบไปอย่างละอายแก่ใจที่จะพูดออกมาถึงความร้ายกาจของภรรยาที่กระทำต่อหลานสาวของตัวเองแต่อมิตากลับไม่เคยถือโทษ “คุณลุงอย่าคิดมากสิคะ ถึงคุณป้าบุหงาเขาจะไม่ค่อยชอบหนูอิมแต่เขาก็เป็นภรรยาของคุณลุง สามีภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกัน หนูอิมเคารพคุณป้าบุหงาเหมือนที่เคารพคุณลุงไม่แตกต่างกันค่ะ หนูอิมได้แต่หวังว่าสักวันคุณป้าบุหงาเขาจะเลิกรังเกียจหนูอิม” อมิตาบอกกับผู้เป็นลุงอย่างมองโลกในแง่ดีแม้จะรู้ว่าโอกาสที่บุหงาจะหันมารักใคร่เอ็นดูเธอนั้นเป็นไปได้ยากเต็มที “ลุงก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน” นายอำนาจเปรยพลางลูบศีรษะหลานสาวที่นั่งซบใบหน้าอยู่กับตัก “ทำงานเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมากไหมลูก” “ไม่เหนื่อยเลยค่ะ หนูอิมโชคดีที่เจอเพื่อนร่วมงานน่ารัก” “ดีแล้วล่ะลูก คนดีๆ อย่างหนูอิมต้องพบเจอกับสิ่งดีๆ ในชีวิตแน่นอน” อมิตาเงยหน้าส่งยิ้มให้ผู้เป็นลุง “หนูอิมก็คิดแบบนั้นค่ะ หนูอิมไปทำงานก่อนนะคะเดี๋ยวจะสาย” “โชคดีนะลูก” “เย็นนี้คุณลุงอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ หนูอิมจะซื้อมาฝาก” “ไม่หรอกลูก มีอะไรลุงก็ทานได้ทั้งนั้น” นายอำนาจบอกอย่างเกรงใจ ตั้งแต่เขากลายเป็นคนพิการนายอำนาจก็ใช้ชีวิตด้วยความประหยัดเพราะอยากเก็บเงินค่าเช่าอาคารพาณิชย์อันเป็นรายได้เดียวของตัวเองไว้ช่วยแบ่งเบาภาระหลานสาว ชายวัยกลางคนนึกขอบคุณตัวเองที่เมื่อครั้งยังมั่งมีได้เจียดเงินส่วนหนึ่งไปซื้ออาคารพาณิชย์ย่านชานเมืองเอาไว้ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ปล่อยเช่าและเป็นรายได้อย่างเดียวของตัวเองที่ภรรยาอย่างบุหงานั้นไม่ทราบว่าเขามีสมบัติชิ้นสุดท้ายแห่งนี้อยู่ ซึ่งนายอำนาจก็นึกขอบคุณตัวเองอีกเช่นกันที่ไม่ได้บอกถึงทรัพย์สมบัติชิ้นสุดท้ายนี้ให้ภรรยาและลูกสาวรับรู้หาไม่แล้วมันคงจะต้องหลุดมือไปอย่างแน่นอน แม้เงินเดือนรวมค่าคอมมิชชั่นของหลานสาวในแต่ละเดือนจะไม่น้อยแต่เขาไม่อยากให้ครอบครัวเป็นภาระกับอมิตามากเกินไป โดยเฉพาะบุหงาที่ใช้เงินเก่งและเขาแอบได้ยินอีกฝ่ายขอเงิน อมิตาโดยใช้คำว่าบุญคุณมาอ้างอยู่เสมอ เขาจึงใช้เหตุผลข้อนี้ในการขอร้องให้อมิตารับเงินจากเขาทุกเดือนเพื่อแบ่งเบาภาระ อย่างน้อยก็ให้ถือเสียว่าเป็นเงินที่เขาใช้เลี้ยงดูภรรยาตัวเองในยามที่บุหงามาขอเงินจากอีกฝ่ายอมิตาจึงยอมรับเงินแต่โดยดีและช่วยกันปกปิดความลับเรื่องสมบัติชิ้นสุดท้ายของผู้เป็นลุงเอาไว้ให้ดีที่สุด “หนูอิมไปทำงานก่อนนะคะ เจอกันตอนเย็นนะคะคุณลุง” อมิตายกมือไหว้ลานายอำนาจแล้วเดินออกจากห้องไป นายอำนาจมองตามหลานสาวด้วยแววตารักใคร่ปนซาบซึ้งกับความกตัญญูที่อีกฝ่ายมีให้ =br=
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม