คีตภัทรถือถุงช็อปปิ้งเดินกลับมายังห้องทำงานด้วยท่าทางอารมณ์ดีทำให้เสกสรรเลขานุการคนสนิทที่เพิ่งกลับจากคุยธุระกับฝ่ายบัญชีเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“เจ้านายไปไหนมาครับ” เสกสรรเอ่ยถามพร้อมปรายตามองถุงช็อปปิ้งที่ประทับตาเครื่องสำอางแบรนด์เนมยี่ห้อดังแล้วคิดว่าตัวเองได้คำตอบสำหรับคำถามนั้นแล้ว
“ไปช็อปปิ้งนิดหน่อย”
“หรือจะพูดให้ถูกคือไปหาคุณนางฟ้ามาใช่ไหมครับ” เสกสรรแกล้งแซวยิ้มๆ
“เกลียดคนรู้ทัน” คีตภัทรแกล้งว่าทำให้ได้รับเสียงหัวเราะจากลูกน้องหนุ่มผู้แสนรู้ใจ
“จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะครับ ปกติเจ้านายเคยลงไปซื้อของด้วยตัวเองที่ไหน อยากได้อะไรก็ให้ผมจัดการให้ทุกที แต่คราวนี้แค่น้ำหอมเจ้านายถึงกับลงทุนไปซื้อด้วยตัวเองอย่าว่าแต่ผมเลยครับ ป่านนี้พนักงานที่แผนกก็แตกตื่นกันหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านาย”
“อีกหน่อยเดี๋ยวก็ชินกันไปเอง” คีตภัทรทิ้งท้ายและเดินเข้าห้องไปปล่อยให้เลขาหนุ่มคนสนิทยืนยิ้มอยู่คนเดียวเพราะจากประโยคสุดท้ายของเจ้านายนั้นแปลเป็นอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากต่อไปนี้แผนกเครื่องสำอางคงจะได้ต้อนรับท่านประธานใหญ่บ่อยๆ เป็นแน่
“หรือตระกูลพิพัฒน์เดชาจะได้คุณผู้หญิงเร็วๆ นี้กันนะ” เสกสรรพูดกับตัวเองเพราะไม่เคยเห็นเจ้านายหนุ่มลงทุนจู่โจมใครแบบนี้ด้วยตัวเองมาก่อน อย่างมากก็ให้เขาเป็นฝ่ายจัดส่งของขวัญและ ‘ดีล’ ข้อเสนอกับผู้หญิงที่สนใจไม่เคยเลยสักครั้งที่คีตภัทรจะลงทุนเป็นฝ่ายรุกด้วยตัวเองแบบนี้ หากเป็นแบบนั้นจริงก็จะดีไม่น้อยเพราะเจ้านายหนุ่มที่เขาเคารพรักนั้นอายุอานามก็เลยวัยที่ควรจะมีครอบครัวมาหลายปีในขณะที่บรรดาเพื่อนๆ ของเจ้านายเขานั้นแต่งงานมีครอบครัวมีลูกที่น่ารักกันไปหมดแล้ว ส่วนตัวเขาเองเมื่อเห็นเจ้านายมีท่าทีสนใจหญิงสาวนามอมิตาผู้นั้น นอกจากจะสืบประวัติตามที่เจ้านายต้องการแล้วตัวเขาเองก็แอบไปสืบถึงนิสัยใจคอกับเพื่อนร่วมงานของหญิงสาวมาเหมือนกัน แม้จะเชื่อมั่นในสายตาของเจ้านายหนุ่มในการเลือกคู่ครองที่ดี แต่ในฐานะที่ทำงานร่วมกันมานานเขารู้สึกรักและเคารพคีตภัทรเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงอยากแน่ใจว่าหญิงสาวจะดีพอที่จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเจ้านาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วการตัดสินใจทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับคีตภัทร แต่เขาก็อยากได้ความสบายใจว่าเจ้านายจะได้คนดีที่คู่ควรมาเป็นคู่ชีวิตหากว่าความสัมพันธ์ของเจ้านายและหญิงสาวผู้นั้นจะดำเนินไปได้ไกลอย่างที่เขาคาดคะเน
เมื่อได้เวลาห้าโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานคีตภัทรวางปากกาลงหลังจากเซ็นเอกสารใบสุดท้ายให้กับเลขาเสร็จพอดี ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักหยิบถุงช็อปปิ้งออกมาหนึ่งใบเพื่อนำไปมอบให้มารดาตามที่ตั้งใจส่วนอีกใบนั้นเขาจะมอบให้กับเจ้าของมันเมื่อถึงเวลา ชายหนุ่มเดินออกจากลิฟต์สำหรับผู้บริหารที่เชื่อมกับลานจอดรถซึ่งทวีคนขับรถของเขาได้นำรถยนต์คันหรูมาจอดรอเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากการจราจรอันแสนติดขัดในช่วงเวลาเร่งด่วนทำให้คีตภัทรถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงนั่งเอนกายพิงเบาะและหลับตาลงเพื่อเป็นการพักสายตาในขณะที่คนขับรถพายานพาหนะขยับไปข้างหน้าได้ทีละนิด จนกระทั่งเวลาทุ่มกว่ารถยนต์คันหรูจึงแล่นเข้ามาจอดในบ้านพิพัฒน์เดชา ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเต็มยศก้าวเท้าลงจากรถก็พบกับคุณหญิงกีรติที่ออกมายืนคอยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เหนื่อยไหมลูก” คุณหญิงกีรติโอบกอดบุตรชายที่แม้วันนี้จะมีอายุสามสิบห้าปีแล้วแต่ก็ยังเป็นเด็กในสายตาเธอเสมอ เป็นเพราะเธอสูญเสียสามีไปตั้งแต่คีตภัทรอายุได้เพียงห้าขวบทำให้เธอต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เขาไปพร้อมๆ กับการบริหารอาณาจักรห้างสรรพสินค้า The Chic ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านมาโดยลำพัง แม้เป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสแต่เธอก็ภูมิใจที่สามารถผ่านมันมาได้ และถึงจะยุ่งกับงานมากเพียงใดเธอก็ไม่เคยละเลยการเอาใจใส่และทุ่มเทความรักให้แก่บุตรชายเลยแม้แต่น้อย ชดช้อยแม่บ้านเก่าแก่และเป็นพี่เลี้ยงของคีตภัทรยืนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้มใจ คุณหนูตัวน้อยในวันวานที่นางได้เลี้ยงดูอุ้มชูเติบโตมาเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่เก่งรอบด้านและนำพาธุรกิจของครอบครัวเจริญก้าวหน้าไปจากเดิมมาก
“ไม่เหนื่อยเลยครับคุณแม่ แต่ว่าตอนนี้ผมหิวจังมีอะไรให้ทานบ้างครับ”
“แม่ช้อยบอกเด็กๆ ให้ตั้งโต๊ะได้เลยนะ” คุณหญิงกีรติหันไปสั่งชดช้อย
“ได้เลยค่ะคุณผู้หญิง วันนี้มีแต่ของโปรดของคุณคีย์ตามคำสั่งคุณหญิงทั้งนั้นเลยค่ะ”
“ไปทานข้าวกันเถอะลูก”
บนโต๊ะอาหารที่มีเพียงสองแม่ลูกและอาหารหน้าตาน่ารับประทานมากมายเรียงรายอยู่บนโต๊ะล้วนเป็นของโปรดของคีตภัทรทั้งนั้น การดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากมารดาและแม่บ้านเก่าแก่ประจำตระกูลทำให้คีตภัทรหายเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวัน
“เรากินข้าวกันสองคนแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะลูก” คุณหญิงกีรติเปรยเมื่อทานอาหารเสร็จ
“คุณพ่อเสียตั้งแต่ผมห้าขวบตอนนี้ผมสามสิบห้าก็สามสิบปีแล้วครับ คุณแม่ถามทำไมเหรอครับ”
“แม่คิดว่าบางทีมันคงจะดีถ้าเรามีเพื่อนกินข้าวหลายๆ คน”
“แม่อยากให้ผมชวนครอบครัวของไอ้ธีร์กับไอ้เต้มาอีกเหรอครับ” คีตภัทรถามเพราะเข้าใจว่ามารดาคงจะเหงาเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยชวนครอบครัวของเพื่อนสนิทมาทานข้าวที่บ้านหลายครั้งถือเป็นการสังสรรค์และหาเพื่อนให้มารดาเนื่องจากท่านถูกอกถูกใจเด็กๆ ลูกๆ ของธีรภัทรและตติยะเป็นอย่างมาก แต่ช่วงนี้เขายุ่งๆ จึงไม่ได้นัดเพื่อนๆ มาที่บ้านนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านคิดถึงเด็กๆ จนเอ่ยปากขึ้นมา
“เปล่าหรอกลูก แม่หมายถึงสมาชิกที่จะอยู่กับเราไปตลอดน่ะ”
“อ้อ คุณแม่คงหมายถึงอยากให้ผมมีครอบครัว” คีตภัทรถึงบางอ้อเพราะก่อนหน้านี้มารดาเคยเปรยกับเขาบ้างว่าท่านอยากให้เขาแต่งงานมีครอบครัวและมีหลานตัวน้อยๆ ให้ท่านเลี้ยงดูเพื่อที่บ้านจะได้ไม่เงียบเหงา
“ใช่ มีวี่แววบ้างหรือยังล่ะลูก” คำถามของมารดาทำให้ใบหน้าของใครบางคนผุดขึ้นมาจนคีตภัทรเผลอยิ้มและกิริยานั้นก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาอันเฉียบคมของคุณหญิงกีรติไปได้ อดีตนักธุรกิจสาวหันไปมองแม่บ้านคู่ใจด้วยสายตามีความหวังโดยที่ฝ่ายนั้นก็ยิ้มตอบกลับมาอย่างเอาใจช่วยเพราะนางเองก็อยากเห็นคุณหนูที่นางเลี้ยงมาเป็นฝั่งเป็นฝามีคุณหนูตัวน้อยมาให้ได้ดูแลก่อนที่จะแก่จนวิ่งไล่จับไม่ทันไปเสียก่อน
“ขอเวลาผมอีกสักสองสามปีได้ไหมครับคุณแม่”
“จริงเหรอ อีกสองสามปีจริงๆ นะ” คุณหญิงกีรติถามบุตรชายอย่างตื่นเต้นเพราะก่อนหน้านี้เอ่ยถามเรื่องการมีครอบครัวทีไรลูกชายของเธอมักบ่ายเบี่ยงและพูดว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้เสมอ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มบอกว่าขอเวลาอีกสองสามปีนั่นหมายความว่านางยังพอมีหวังอยู่บ้าง
“ผมเข้าใจนะครับว่าคุณแม่อยากให้ผมมีครอบครัวและอยากมีหลาน แต่การแต่งงานมันไม่ใช่ของง่ายที่นึกจะจับใครมาเป็นเจ้าสาวก็ได้ เอาเป็นว่านับจากนี้ผมจะเริ่มมองหาคนที่ดีพอจะมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่ก็แล้วกันนะครับ”
“จ้ะ จ้ะ แม่จะรอ” คุณหญิงกีรติกล่าวด้วยความยินดี แม้คีตภัทรจะขอเวลาอีกสองสามปีนางก็ยินดีเพราะอย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าการที่เขายืนกรานว่าไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานอยู่ในหัว ความหวังที่จะได้เห็นลูกชายคนเดียวแต่งงานมีครอบครัวมีลูกไว้สืบสกุลและดูแลกิจการก็ไม่ริบหรี่เลือนรางอย่างที่เป็นมาตลอด
“ป้าช้อยครับ ช่วยให้เด็กไปหยิบถุงในรถผมให้ทีนะครับ”
“ได้ค่ะคุณคีย์”
“อะไรเหรอลูก”
“ผมซื้อของมาฝากคุณแม่น่ะครับ”
“เนื่องในโอกาสอะไรจ๊ะ”
“เนื่องในโอกาสที่ผมรู้สึกรักคุณแม่มากๆ” คีตภัทรลุกจากเก้าอี้ของตัวเองไปนั่งข้างมารดาและโอบกอดท่านเอาไว้อย่างรักใคร่ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็นมุมอ่อนโยนแบบนี้ของเขา เพราะปกติแล้วภาพที่คนทั่วไปเห็นก็คือภาพนักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนียบเคร่งขรึมจนทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยรู้สึกกลัวที่จะเข้าหา
“ได้แล้วค่ะคุณคีย์” โบตั๋นสาวใช้อีกคนของบ้านถือถุงช็อปปิ้งใบเล็กมาส่งให้เจ้านายหนุ่ม
“คุณแม่ลองเปิดดูสิครับว่าชอบไหม” คีตภัทรยื่นถุงให้มารดาซึ่งรับไปด้วยรอยยิ้มปลื้มใจกับความเอาใจใส่ที่ลูกชายมีให้เสมอมา
“น้ำหอม คีย์เลือกเองเหรอลูก”
“คุณแม่ลองทดสอบกลิ่นดูสิครับว่าชอบไหม” คีตภัทรไม่ตอบแต่บอกให้มารดาเปิดขวดออกมาเพื่อทดสอบกลิ่นว่าจะถูกใจท่านหรือไม่ คุณหญิงกีรติไม่รอช้ารีบทำตามคำบอกของลูกชายทันที
“หอมมากเลยลูก แม่ชอบมากเลยกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา หอมกว่าน้ำหอมที่แม่ใช้อยู่ประจำอีกนะเนี่ย ขอบใจนะลูกเข้าใจเลือกจริงๆ ถูกใจแม่สุดๆ” คุณหญิงกีรติออกอาการปลื้มเป็นอย่างมากทำให้คนซื้อยิ้มไม่หุบเช่นกัน
“ผมดีใจที่คุณแม่ชอบครับ”
“ไม่น่าเชื่อว่าคีย์จะเลือกกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงเป็นด้วย”
“ผมไม่ได้เลือกเองหรอกครับ”
“ว่าแล้วเชียว คงไม่พ้นให้คุณเสกสรรจัดการให้อีกล่ะสิ” คุณหญิงกีรติคาดเดาเพราะไม่ว่าเรื่องอะไรลูกชายของเธอมักไหว้วานให้เลขาคนสนิทจัดการแทนไปเสียทุกอย่าง
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“เอ๊ะ... แล้วใครกันจ๊ะที่ช่างเข้าใจเลือกน้ำหอมได้ถูกใจแม่แบบนี้ แม่ชักอยากจะเห็นหน้าซะแล้วสิ ลูกรู้ไหมนอกจากพ่อของลูกแล้วไม่เคยมีใครเลือกกลิ่นน้ำหอมได้ถูกใจแม่สักคน”
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ กู้ดไนท์นะครับคุณแม่” คีตภัทรไม่ตอบแต่ลุกขึ้นบอกลาแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปทันที
“อะไรกันจ๊ะ คีย์ยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าใครเลือกน้ำหอมกลิ่นนี้ให้” คุณหญิงกีรติเอ่ยถามตามหลังแต่ผู้เป็นลูกไม่หันกลับมาตอบคำถามที่เธอใคร่รู้
“ช้อยว่ามันแปลกๆ นะคะคุณผู้หญิง ท่าทางคุณคีย์มีลับลมคมนัยแค่คนเลือกน้ำหอมทำไมไม่ยอมบอก”
“นั่นน่ะสิ หรือว่า...” คุณหญิงกีรติและนางชดช้อยมองหน้ากันด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“เธอคิดเหมือนฉันใช่ไหมแม่ช้อย”
“ถ้าคุณหญิงคิดว่าคนที่เลือกน้ำหอมกลิ่นนี้อาจเป็นคนพิเศษของคุณคีย์ ช้อยก็คิดเหมือนคุณหญิงค่ะ”
“ขอให้สิ่งที่ฉันคิดเป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วยเถอะ ฉันจะได้เห็นลูกมีครอบครัวและได้อุ้มหลานก่อนตาย”
“ช้อยเอาใจช่วยค่ะคุณหญิง” หญิงต่างวัยทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความสุขกับการคาดคะเนอย่างมีความหวัง
เอ...ใครน้าเลือกน้ำหอมให้คุณหญิงแม่ดูท่าคุณแม่จะปลื้มมากซะด้วย ลุ้นกันต่อปายยยย