ส่วนร่างผอมบาง ยามนี้นางกำลังกวักน้ำในลำธารล้างหน้า และมองตนเองที่สะท้อนอยู่ด้านล่าง พลันเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงพึมพำแผ่วเบาที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“เห้อ! ไม่ใช่ฝันจริง ๆ สินะ” แม้จะเชื่อแล้วว่านี่คือเรื่องจริง ทว่าในใจนางก็ยังหวังว่ามันจะเป็นจินตนาการในห้วงฝัน
“พี่เหยา ผ้าเจ้าค่ะ” เสียงใสเอ่ยพร้อมกับยืนผ้าเก่าสีซีดให้ นางจึงมองเด็กน้อยที่กำลังนั่งลงข้างกันก่อนจะหันหนีไปอีกทาง
“ขอบใจ” รับผ้ามาซับใบหน้า พร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย ‘จะทำยังไงกับเด็กสองคนนี้ดีนะ เอาไปปล่อยวัด แล้ววัดอยู่ที่ไหน เห้อ! ช่างเถอะ… เอาไว้ร่างกายแข็งแรงดี ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน’
หลังจากปล่อยวางเรื่องที่อยู่ในหัวได้ ร่างบอบบางก็เดินมาที่ครัวเพื่อดูว่าเจ้าเด็กน้อยวัยห้าขวบกำลังทำอะไร เมื่อเห็นท่าทางคล่องแคล่วของจื่อเทาริมฝีปากแห้งผาดนี้ก็เผยยิ้ม
“เก่งนี่ รู้จักหุงหาอาหารอย่างกับคนโต” เอ่ยชมก่อนจะเดินเข้ามาจัดแจงข้าวของที่ได้รับแลกมาในวันนี้เข้าตามมุมอันแออัด
เพราะในครัวมีเพียงโต๊ะไม้เก่าผุพัง นางจึงไม่กล้าจะวางของหนักลงไป เลยต้องคาไว้ในถังน้ำเหมือนเคย และนางก็ยืนมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย
‘บ้านหลังนี้เก่ามากถ้าไม่ซ่อมแซม ถึงหน้าฝนคงได้พังลงมาทับตาย แต่ถ้าซ่อมก็ต้องใช้เงินใช้แรงคน เงินที่ได้วันนี้ ถ้าเราเอาไปทำทุนเดินทางไปหางานทำในเมือง ไม่แน่ชีวิตอาจจะดีขึ้นกว่าอยู่ที่นี่ก็ได้’ นึกแล้วนางก็เผยยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสองยืนมองนางตาปริบ ๆ ‘คงต้องเอาเจ้าสองตัวนี่ไปปล่อยวัดก่อน ฉันไม่ได้ใจดำกับพวกเธอนะ คนที่ใจดำจริง ๆ คือพี่ชายพวกเธอที่ทิ้งพวกเธอไปต่างหาก’ เหยาอันหาข้อแก้ต่างให้ตนเอง
“พี่เหยา วันนี้เราจะทำอะไรกินหรือเจ้าคะ” ม่านอวี้เอ่ยถามเสียงใส พร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาะขอบโต๊ะมองนางและส่งยิ้มให้
“มีคนเอาหมูมาแลกด้วยไม่ใช่เหรอ งั้นก็ผัดใส่ผักนั่นก็แล้วกัน ออกไปรอข้างนอกไป เดี๋ยวข้าจะทำเอง” ว่าพร้อมกับดันไหล่เด็กน้อยให้พ้นทาง เพราะมันเกะกะนัก
“เช่นนั้นม่านอวี้ไปอาบน้ำนะเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยเสียงสดใส
ซึ่งแต่ก่อนม่านอวี้ไม่ได้เป็นคนเช่นนี้ อันที่จริงนางตื่นกลัวเหยาอันอยู่พอสมควร เพราะก่อนนั้นหญิงสาวมักตวาดใส่เสมอ
ทว่าตั้งแต่นางฟื้นมา แม้จะมีท่าทางดุเหมือนเคย แต่ถึงกระนั้นก็ยังใจดีหาอาหารให้พวกเขากิน และย่างปลาได้อร่อยมากด้วย เด็กน้อยจึงมีท่าทางเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน
“เจ้าก็ไปอาบน้ำเถอะ มอมแมมจะแย่” หันมาหาเด็กชายที่กำลังง่วนกับการหุงข้าวบนเตาที่สูงกว่าตัว และเขาก็ต้องต่อโต๊ะสำหรับเหยียบ เหยาอันเห็นแล้วก็รู้สึกถึงอันตรายอย่างไรไม่รู้
“แต่พี่หุงข้าวไม่เป็น” เด็กน้อยบอกอย่างใสซื่อ
“ข้าหรือหุงข้าวไม่เป็น” ชี้นิ้วใส่หน้าตนเอง
“ใช่ พี่ไม่เคยทำอะไร นอกจากรอข้าทำให้” จื่อเทาเอ่ยแล้วก็รีบก้มหน้า เพราะเกรงจะถูกว่าที่พี่สะใภ้ตำหนิ
เสียงถอนหายใจจึงดังมา “ออกไปข้าจะทำเอง รีบไปอาบน้ำเสีย ค่ำมืดแล้วประเดี๋ยวก็ไม่สบาย บอกน้องเจ้าด้วยอย่าได้แช่น้ำนานนัก หากป่วยมาข้าไม่นั่งเฝ้าหรอกนะ” เอ่ยบอกอย่างไม่ไยดี ถึงกระนั้นก็ยังเหลือบไปมองเด็กน้อยที่กำลังเล่นน้ำลำพัง
“ขอรับ” จื่อเทารับคำแล้วก็วิ่งหายเข้าไปในเรือน ก่อนจะออกมาพร้อมกับหอบผ้า คาดว่าคงเอาไปให้น้องสาวกระมัง
เหยาอันยืืนมองภาพที่เผยให้เห็นทางบานหน้าต่างห้องครัว ซึ่งมันเก่าจนแทบจะหลุดล่วงลงไปด้านล่างอยู่แล้ว
สองพี่น้องกำลังหยอกล้อด้วยการสาดน้ำใส่กัน ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วบริเวณ ทำให้บ้านเรือนใกล้เคียงต่างก็งงงวย เพราะมันนานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของคนบ้านนี้
ผ่านไปพักใหญ่ เหยาอันก็ส่งเสียงดุทั้งคู่ เพราะนี่มันก็เริ่มมืดแล้ว ขืนปล่อยให้เล่นต่อเป็นต้องได้จับไข้เป็นแน่
สองพี่น้องรีบขึ้นอย่างว่าง่าย ก่อนจะพากันเข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์แล้วก็นำออกมาตาก แล้วคนพี่ก็มาช่วยน้องสาวเช็ดผม
เหยาอันยืนกอดอกมองทั้งคู่ด้วยแววตาเรียบเฉย
“พี่เหยา ม่านอวี้หิวข้าวแล้ว” เด็กน้อยบอกตามประสา
“ชิ! เล่นเสร็จก็ร้องหาของกินเลยนะ อยากกินก็ไปช่วยยก” ว่าแล้วก็เดินนำออกมา เด็กทั้งสองก็เดินตามอย่างเชื่อฟัง เมื่ออาหารสองอย่างถูกนำมาวางที่โต๊ะ เด็กน้อยก็ตาโตเท่าไข่ห่าน
“วู๊… พี่เหยานี่คืออะไรหรือ ทำไมมีทั้งหมูทั้งไข่่” ม่านอวี้เผยแววตาเปล่งประกาย เมื่อเห็นกับข้าวในชามที่นางไม่เคยกิน
“ไข่พะโล้ รีบกินจะได้เข้านอน” น้ำเสียงนางยังคงเข้มเหมือนเคย ก่อนจะตักข้าวใส่ถ้วยส่งให้ทั้งคู่ที่มีท่าทางตื่นเต้นมาก
จากนั้นพวกเขาก็นั่งทานข้าวกันไปเงียบ ๆ เพราะเหยาอันสั่งไม่ให้พูด กระทั่งทานเสร็จนางก็ให้เป็นหน้าที่จื่อเทาเก็บล้าง ส่วนนางก็หอบผ้าเตรียมตัวจะไปชำระร่างกายของตน
“ปกติิข้าอาบน้ำตรงไหนหรือ แล้วเวลาปวดหนักปวดเบาล่ะไปตรงไหน” หันมาถามเด็กชายที่กำลังคว่ำจานเรียงรายบนแคร่ไม้ไผ่
ทว่าสิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือสีหน้ามึนงงของเด็กน้อย
“มองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“พี่ไม่ค่อยอาบน้ำ สิบวันจะอาบทีเจ้าค่ะ” ม่านอวี้รีบบอก
“หา! ข้าน่ะหรือสิบวันอาบน้ำที”
สองพี่น้องพยักหน้าพร้อมกัน หญิงสาวจึงได้แต่กลืนน้ำลาย
“อะไรกันเนี่ย ทำไมเจ้าของร่างถึงได้ซกมกแบบนี้ล่ะ ยี้!” นางยกมือขึ้นมาลูบแขนตน พร้อมกับดิ้นส่ายไปมา “ข้าจะไปอาบน้ำ อยู่กันตรงนี้คอยดูต้นทางไว้ ถ้ามีใครมาแอบดูรีบบอกเลยนะ” ร่างผอมบางรีบเดินเลี่ยงขึ้นไปทางต้นน้ำ พร้อมกับหอบผ้าไปเปลี่ยนด้วย
จากนั้นก็รีบลงน้ำไปเพื่อชำระร่างกาย ใช้ผ้าถูขี้ไคลที่เกาะเป็นปึ้นออก ก่อนนี้นางไม่ได้สังเกตตนเองเลย เพราะตั้งแต่ฟื้นมาก็มีเรื่องให้ต้องทำตลอดทั้งวัน จึงไม่มีเวลาก้มดูร่างกายตนเอง นางรู้แค่ว่าเจ้าของร่างนี้ผอมมาก ใบหน้าก็ตอบจนแก้มยุบ
“เหยาอันนะเหยาอัน ทำไมเจ้าโสโครกได้เพียงนี้ฮ้า!” ผ้าในมือถูกยกขึ้นมาถูร่างกายจนผิวตัวเริ่มแสบร้อน ถึงอย่างนั้นเหยาอันก็ไม่ยอมหยุด และยังมุดลงน้ำไปล้างหัวตนเองที่มันเหนียวเหนอะด้วย
ผ่านไปพักใหญ่นางจึงได้ขึ้นมาจากน้ำ แล้วมองหาพุ่มไม้เพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ดีที่มันสะโหลสะเหลแล้ว เลยไม่ต้องกลัวใครเห็น “ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องทำห้องน้ำ หากมีใครเดินไปเดินมาช่วงนี้แย่แน่ ร่างกายนี้ก็พึ่งแตกเนื้อสาวด้วย จะปล่อยปละละเลยไม่ได้” นางเดินพึมพำกลับมาที่เรือน ซึ่งมีเด็กน้อยสองคนยืนตบยุงอยู่
“เข้าบ้าน” รีบบอกทันที ก่อนจะพากันเข้าด้านใน เพราะตอนนี้ฟ้ามันได้มืดลงแล้ว ดีที่เด็กน้อยรู้ความยังจุดเทียนไว้รอ
ทว่าเมื่อมองเห็นที่นอนนางก็ต้องถอนใจยาวอีกหน “เจ้าสองคนนอนตรงนั้นหรือ” ชี้ไปยังเตียงไม้ไผ่เก่า ๆ ที่มีหมอนหนุนแค่ใบเดียว และผ้าห่มผืนบางสีซีดพับเอาไว้อย่างดี
สองพี่น้องพยักหน้าก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งมองนางตาแป๋ว ทำให้หญิงสาวต้องรีบเสหลบแล้วเดินไปนั่งที่ริมหน้าต่าง เพื่อรอให้ผมของตนแห้ง พลันสัมผัสหนึ่งก็ทำให้นางตื่นตระหนก
“ม่านเอ๋อร์ช่วยพี่เหยาเช็ดผม” เด็กน้อยบอกอย่างเอาใจ พร้อมกับเอาผ้าถูผมให้ทีละช่อ อีกข้างก็มีจื่อเทาทำไม่ต่างกัน
“ทำไมไม่รู้จักไปนอน” น้ำเสียงนางแผ่วลง
“เรายังไม่ง่วงเจ้้าค่ะ” ม่านอวี้เอ่ยบอกเสียงใส
“งั้นมาคุยกัน ข้าอยากรู้ว่าพี่ชายเจ้าไปสอบบัณฑิตอะไรนั่นที่ไหน แล้วทำไมเขาถึงได้กล้าทิ้งพวกเจ้าไว้กับข้า”
เด็กน้อยนิ่งงันไป เพราะเขาเองก็ตอบไม่ได้ ภาพความทรงจำสุดท้ายที่เกี่ยวกับพี่ชายมีเพียงคำบอกกล่าวที่เอ่ยว่าจะไปไม่นาน ทว่านี่ก็ผ่านไปสองปีแล้ว พี่ชายก็ยังไม่กลับมา
‘เห้อ! เด็กมันจะไปรู้อะไร’ เหยาอันนึกในใจก่อนจะมองออกไปด้านนอก ที่มีแต่ความมืดมิดและแสงไฟที่อยู่ห่างออกไป
“นอนเถอะ วันพรุ่งค่อยว่ากัน” เอ่ยแล้วนางก็หันมาปิดหน้าต่างลงกลอน ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรเลย
หากออกแรงดึงมันอาจจะหลุดลงไปทั้งบานก็เป็นได้
“สวรรค์ ไหน ๆ ก็ส่งลูกมาเกิดใหม่แล้ว ยังไงก็คุ้มครองให้ลูกช้างอยู่รอดปลอดภัยด้วยนะเจ้าคะ ร่ำรวยเมื่อไหร่จะเซ่นไหว้ให้อิ่มหนำเชียว” พนมมือพร้อมกับกล่าวติดสินบนเพื่อความสบายใจ ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงไม้เก่าของตน และยังไม่ลืมหันไปมองเด็กน้อยที่นอนมองนางตาแป๋ว คงสงสัยว่าตนทำอันใดกระมัง
“นอนได้แล้ว” ส่งเสียงดุก่อนจะปีนขึ้นเตียง
#เด็ก ๆ น่ารัก พี่เหยายังจะเอาไปปล่อยวัดอีก
ฝากกดใจ คอมเม้นกันด้วยนะคะ