พะแพงถลึงตาใส่ทั้งคู่ทันที เพราะรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องที่ได้ยินเป็นอย่างมาก เกิดใหม่มาพร้อมกับความยากจนก็ว่าลำบากแล้ว ยังต้องมาเลี้ยงเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอีกเหรอ
ทำไมสวรรค์ต้องลงโทษเธอรุนแรงแบบนี้นะ…
หรือที่นี่เป็นดินแดนนรกที่เธอต้องมาชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ในชาติภพที่จากมา ชาติก่อนที่นางทำให้มารดาต้องคอยพะวงห่วงหา
นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก สุดท้ายก็หันมาถามไถ่เรื่องราวต่อ เพราะมีอีกหลายอย่างที่หญิงสาวต้องรีบทำความเข้าใจกับยุคที่ไร้ความเจริญแห่งนี้ ที่สำคัญมันไม่ใช่ยุคที่เกี่ยวข้องกับบ้านเกิดแท้ ๆ ของนาง เพราะพะแพงผู้นี้มิใช่คนจีนแต่กำเนิด
ทว่านางเป็นหญิงไทยที่อยากมีสามีจีน จึงดั้นด้นพาตัวเองมาอยู่ในประเทศนี้ หวังว่าสักวันจะสมปราถนาอย่างที่ต้องการ
นางออกท่องเที่ยวไปเรื่อยควบคู่กับการทำงานออนไลน์ บางคราตามติดนักแสดงที่ตนชื่นชอบ ตามพวกเขาไปในสถานที่ถ่ายทำต่าง ๆ กระทั่งพลัดตกน้ำเมื่อวันก่อน พอตื่นมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกใบเดิมอีกแล้ว ทว่า! สวรรค์ หากจะให้นางเกิดใหม่ ทำไมถึงไม่ให้เกิดเป็นองค์หญิงหรือลูกคุณหนูผู้ร่ำรวยอะไรเทือกนั้น
ทำไม! ให้เกิดใหม่ในร่างของเด็กสาวแรกรุ่น แต่ผอมกะหร่องท่าทางขี้โรคเช่นนี้ มิหนำซ้ำนางยังจนชนิดที่ไม่มีอะไรติดบ้านเลย
“พี่เหยา ปลาจะไหม้แล้วขอรับ” เด็กชายเอ่ยบอก พร้อมกับกะพริบตาถี่มองว่าที่พี่สะใภ้ของตนที่นั่งเหม่อลอย
“ก็จับพลิกสิ” เอ่ยตอบอย่างรำคาญ ทว่าจู่ ๆ นางก็พูดขึ้นเหมือนนึกอะไรได้ “ไม่ต้อง! เดี๋ยวข้าทำเองก็ได้ เจ้ามาดูคันเบ็ดนี่” เอ่ยพร้อมกับส่งลำไผ่ให้ “อย่ายกแรงเกินไปล่ะ เดี๋ยวเชือกมันจะขาด ค่อย ๆ ลากมาที่ฝั่งแล้วเอาขึ้น เข้าใจหรือไม่” สอนเจ้าเด็กน้อย ก่อนจะขยับลุกมานั่งข้างกองไฟ ที่เปลี่ยนใจไม่ให้เด็กมาทำก็เป็นเพราะไม้ย่างปลามันอาจจะร้อน นางเลยคิดว่าทำเองดีกว่า
จากนั้นไม่นานจื่อเทาก็ตกปลาได้หนึ่งตัว และสองพี่น้องก็ดีใจมาก คนที่นั่งพลิกปลาอยู่เลยคว่ำปากใส่เล็กน้อย
“ชิ! แค่นี้ก็เริงร่า เด็กจริง ๆ” พึมพำก่อนจะเงียบไป
เมื่อนึกถึงเรื่องราวของตนเองสมัยเด็ก ภาพความทรงจำที่นางเดินป่ากับคุณพ่อผุดขึ้นมา บางวันก็ไปตกปลามาเป็นอาหาร เพราะช่วงที่เรียนประถมถึงมัธยมต้น พะแพงมีชีวิตที่ลำบากพอสมควร ต้องหาของป่า ทำไร่ทำนาช่วยครอบครัว และความลำบากตรงนี้กระมัง ที่ทำให้แม่ของเธอหนีไปมีครอบครัวใหม่ที่ดีกว่า
พอพ่อของเธอตายแม่ก็รับมาอยู่ด้วย นับแต่นั้นชีวิตก็เหมือนจะดีขึ้น แต่ก็แค่ความเป็นอยู่ ไม่ใช่เรื่องของจิตใจ ในที่สุด…เมื่อเธอเรียนจบมหาลัย พะแพงก็หนีออกจากบ้านมาอยู่ในดินแดนที่เธอใฝ่ฝัน แต่ใครจะไปคิดว่า วันหนึ่งเธอจะตื่นขึ้นมาอยู่ในยุคที่ตัวเองคลั่งไคล้ได้ แต่! แล้วทำไมต้องมาเผชิญชะตากรรมอะไรแบบนี้ด้วย
หรือเป็นเพราะคำขอที่เธอเอ่ยกับราหูอมจันทร์กันนะ…
“ลูกขอสามีหล่อ ๆ เหมือนพระเอกซีรี่ย์จีนโบราณสักคนนะคะ แบบไหนก็ได้ ขอแค่หล่อเป็นพอ”
นี่คือสิ่งที่เธอขอก่อนจะถูกคนวิ่งชนจนตกน้ำ แต่! แล้วสามีหล่อ ๆ ที่ว่ามันอยู่ที่ไหนกันล่ะ หรือจะให้เธอมาเสาะหาเอง คิดไปคิดมาเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นอย่างหมดอาลัย
“เย้ ๆ พี่จื่อได้ปลาอีกแล้ว” เสียงใสของเด็กน้อยปลุกนางให้ตื่นจากภวังค์ พอหันไปก็เห็นเด็กชายกำลังลากปลาขึ้นมา
“จื่อเทา ปลานี่เอาไปแลกข้าวได้หรือไม่” ลองถามดู
เด็กชายรีบหันมายิงฟันใส่ก่อนตอบ “ได้ขอรับ”
“ดี งั้นวันนี้เราก็อยู่ที่นี่ทั้งวันแล้วกัน หาปลาให้มากหน่อย จะได้เอาไปแลกข้าวมาไว้หุงกิน” บอกแล้วก็หันมาพลิกปลา
“เย้ ๆ เราจะมีข้าวกินกันแล้ว พี่เหยาเก่งที่สุดเลย” ม่านอวี้เอ่ยอย่างดีใจ พร้อมกับตบมือรัวด้วยความตื่นเต้น
คนมองก็ได้แต่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยถาม “จื่อเทา ก่อนหน้านี้พี่ป่วยเหรอ ทำไมเจ้าถึงบอกพี่หลับไปถึงสองวัน”
“พี่น่าจะล้มตรงลำธารแช่น้ำนานเลยป่วย ข้าไปตามคนในหมู่บ้านมาดู เขาก็บอกว่าพี่ไม่รอดแล้ว เราเลยไม่รู้จะทำเช่นไร”
“หา! แล้วไม่คิดจะหาหมอมารักษาเหรอ”
“ตามหมอก็ต้องใช้เงินขอรับ ระ…เราไม่มีเงิน อีกอย่างคนในหมู่บ้านก็ไม่ค่อยชอบพี่เหยานัก คนที่ดีกับเราก็ไม่มีเงินจ้างหมอมาตรวจ เราสองคนเลยต้องดูแลพี่ไปตามมีตามเกิดขอรับ” เสียงเด็กน้อยแผ่วลง พร้อมกับมองหน้าว่าที่พี่สะใภ้ตาปริบ ๆ
‘ก็จริง ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้ ดูจากสภาพบ้านแล้วยิ่งไม่ต้องคาดหวังว่าเพื่อนบ้านจะเอ็นดู ไม่แน่แต่ละครัวเรือนก็อาจจะมีสภาพไม่ต่างกัน’ หญิงสาวนึกถึงความเป็นจริงในยุคที่ไร้ความเจริญนี้
จากนั้นนางก็นึกถึงสาเหตุที่ตนได้มาเกิดใหม่ ‘แสดงว่าเจ้าของร่างนี้ป่วยจนตาย ส่วนเราก็ตายในโลกปัจจุบันแล้วมาอยู่ในร่างแทนสินะ’ จากนั้นนางก็นึกอะไรได้อีก จึงรีบเอ่ยถาม
“นี่จื่อเทา ข้าชื่ออะไรหรือ” พะแพงพยายามตะล่อมถามเด็กน้อย ถามไถ่ถึงที่มาของตนว่าเป็นใครมาจากไหน และมันก็ทำให้สองพี่น้องหันมองหน้ากันตามประสาด้วยความไม่เข้าใจ
“พี่เหยาป่วยจนจำอะไรไม่ได้จริงหรือ” เด็กน้อยยังถามคำเดิม
“ก็บอกว่าจำอะไรไม่ได้ บอกมา! ข้าเป็นใคร ชื่ออะไร” จ้องหน้าเด็กน้อยเขม็ง จื่อเทาจึงรีบเอ่ยบอกด้วยความตื่นกลัว
“พี่มีนามว่า มู่เหยาอันขอรับ เป็นคู่หมั้นของพี่ใหญ่ พอถึงเวลาไปสอบบัณฑิตเขาก็ให้พี่ดูแลเราสองคน บอกว่าสอบเสร็จจะกลับมา ทว่านี่ก็สองปีแล้ว พี่ใหญ่กลับ…” เสียงเด็กน้อยขาดหายไป แววตาไร้เดียงสาเริ่มคลอไปด้วยน้ำใส ผู้ที่ตั้งคำถามจึงเศร้าไปด้วย
‘เป็นพี่ชายที่ใจร้ายมาก กล้าทิ้งน้องไปดื้อ ๆ แบบนี้เลยเหรอ ใจดำที่สุด เอ๋! หรือว่าเขาจะตายไปแล้ว’ พะแพงคิดไปทั่ว
“พี่เหยา ปลายังไม่สุกอีกหรือ” เสียงหนึ่งดังมาปลุกนางให้หลุดออกจากภวังค์ คนที่กำลังครุ่นคิดจึงเกิดอาการหงุดหงิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าพอจะอ้าปากตวาดกลับต้องรีบหุบลง
แววตาใสซื่อตรงหน้ามันทำให้นางต้องกลืนถ้อยคำกลับไป
“ชิ! งานการไม่ได้ รอกินอย่างเดียวยังจะมาเร่งอีก” ปากนางก็พึมพำบ่นให้เด็กน้อย แต่มือกลับเอื้อมเอาไม้ที่ย่างปลาออกมาจากกองไฟ แล้วก็แกะเอาดินที่พอกออกให้จนเหลือแค่ตัวปลา
“เอาไปอุดปากไว้ จะได้เลิกกวนข้าสักที” บ่นอุบอิบพร้อมกับหลับตาค้อนให้อย่างรำคาญ จากนั้นนางก็หันมาแกะปลาของตนเองบ้าง เพราะตอนนี้นางหิวจนหน้ามืดตาลายแล้ว
“อืม… อร่อย!! อร่อยมาก ๆ” เสียงเด็กน้อยทั้งสองร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะตบมือแปะ ๆ ให้คนที่ย่างปลาให้พวกเขากิน
“เหอะ!” หญิงสาวคว่ำปากพร้อมกับหลับตาใส่ทั้งคู่ จากนั้นนางก็หันมาสนใจกินปลาตรงหน้า กระทั่งปลาที่ย่างหมด
พะแพงหรือเหยาอันก็หันมาสนใจคันเบ็ดต่อ เพราะวันนี้นางต้องหาปลาให้ได้มาก ๆ จะได้เอาไปแลกข้าวและเงินสำหรับใช้สอยในวันหน้า “นี่ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเด็กเรามีชีวิตที่ลำบาก คงคิดหาวิธีหาปลาแบบนี้ไม่ได้แน่ มันคือความโชคดีหรือโชคร้ายของเรากันนะ ได้เกิดใหม่ในยุคที่ใฝ่ฝัน แต่ดันเป็นคนที่จนมากแม้แต่เกลือก็ไม่มีกิน เห้อ! แล้วสามีหล่อ ๆ ที่ขอไว้นี่อยู่ที่ไหนกันนะ” หญิงสาวบ่นพึมพำไปเรื่อย ก่อนจะหันมาหาเด็กน้อยทั้งสองที่นั่งมองนางตาปริบ ๆ
‘ตัวภาระชัด ๆ’ นึกในใจอย่างหงุดหงิดเพราะโดยปกตินางก็ไม่ใช่คนชอบเด็ก ที่สำคัญนิสัยส่วนตัวก็เป็นคนรักสันโดษ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ ‘หรือเราควรเอาไปปล่อยวัดดี จากนั้นเราค่อยไปหางานทำในเมือง น่าจะมีอะไรที่ดีกว่าอยู่บ้านนอกแบบนี้’
หญิงสาวยังคงคิดไปเรื่อย เพื่อหาทางออกให้ตนเอง ในเมื่อเด็กสองคนนี้ไม่ใช่น้องแท้ ๆ แล้วเหตุใดนางจะต้องมาคอยดูแลคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ขนาดพี่ชายเด็กยังทิ้งเอาไว้ตั้งสองปี ไม่คิดจะกลับมาดู แล้วเหตุใดนางที่เป็นคนอื่นจะต้องสนใจ เลี้ยงดูทั้งคู่ด้วย
หน้าที่ก็ไม่ใช่ สายเลือดก็ยิ่งไม่ใช่อีก…
ถ้าวันหน้าเอาไปปล่อยวัด นางก็ไม่ผิดเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยวัดก็ยังมีข้าวให้กิน มีที่ให้ซุกหัวนอน
“หึหึ เอาแบบนี้แหละ เราจะได้ออกไปผจญภัยได้” คิดแล้วนางก็นั่งหัวเราะชอบใจอยู่ลำพัง โดยไม่ได้หันมาสนใจแววตาใสซื่อของเด็กทั้งสองที่กำลังมองนางด้วยความฉงน แต่ก็ไม่กล้าถาม
#โถ... สงสารน้องนะเหยาอัน เลี้ยงไว้เถอะ
ฝาดกดใจ คอมเม้นเปิดการมองเห็นให้ไรท์ด้วยนะคะ