สองมือกำแน่นพยายามระงับอารมณ์โกรธที่คุกรุ่น ริมฝีปากขมเม้มแน่นยามเมื่อสบตาหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มหวานให้เธอ เสมือนไร้เดียงสา จนเธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายพยายามยั่วยุ จึงพยายามข่มใจตัวเอง ฝืนยิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังแสดงสีหน้าไร้เดียงสาได้อย่างแนบเนียน
“ค่ะ พี่ไม่คิดมาก...แต่ว่ามันก็ไม่เหมาะนะคะ เป็นผู้หญิงแต่ไปทำตัวใกล้ชิดกอดหอมผู้ชายอื่น ยิ่งเขามีคนรักอยู่แล้ว ยิ่งไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ น้องปายอย่าหาว่าพี่สอนเลยนะคะ พี่แค่พูดในมุมของพี่สาวน่ะค่ะ”
“เอ่อ...ค่ะ” หน้าม้านไปทันที เพราะไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายตอกกลับเช่นนี้ ขณะที่ปกปกรณ์เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เกรงว่าบรรยากาศที่มีจะกร่อยจึงหันไปหาเพื่อนสนิท แกล้งเปลี่ยนเรื่องถามถึงของทะเลสดที่ยังมีอยู่บ้างส่วน
“เห้ยปราบ...ของทะเลนี่ เผาหมดเลยไหม”
“อืม ย่างหมดเลยแล้วกัน” เขาตอบรับอย่างง่ายๆ ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะเดินมาหาหญิงสาวเพื่อรับจานหมูไปวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับจูงมือแฟนสาวให้เดินตามมานั่ง
ในขณะที่คะนิ้งที่เดินตามเพื่อนสนิทมาอย่างเงียบๆ ลอบสังเกตบรรยากาศโดยรอบด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แอบรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อเพื่อนสนิทของเธอกลับไม่โวยวายหรือพูดอะไรต่อว่าอีกฝ่ายให้รู้สำนึกมากกว่านี้
เป็นเธอหน่อยจะตรงเข้าไปตบสักฉาดสองฉาดให้หายหมั่นไส้
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” อิงค์วิฬาร์หันมากระซิบถามเพื่อนด้วยความสงสัย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย
“ก็แกนั่นล่ะ ไม่ได้อย่างใจฉันเลย...เป็นฉันนะจะกระชาก จิกหัวมาตบสักทีสองทีให้หายหมั่นไส้” หันไปกระซิบตอบพลางเหล่สายตามองไปยังใครอีกคนที่เพิ่งเดินมานั่งโต๊ะฝั่งตรงข้ามเยื้องกับเธอและเหมือนว่าจะจงใจเลือกนั่งตรงข้ามกับอาจารย์หนุ่มที่กำลังสาละวนอยู่กับตักน้ำแข็งใส่แก้ว บริการให้กับทุกคนในโต๊ะ
“เดี๋ยวอีสตัลมันจะมาร่วมด้วยใช่ไหม” ปกปกรณ์ที่เพิ่งยกจานอาหารที่กำลังร้อนๆ วางลงบนโต๊ะเอ่ยถามขึ้น
“คงไม่ละ เห็นว่างานมีปัญหานิดหน่อย”
“อืม แล้วไอ้เกื้อล่ะ”
“รายนั้นคงยังเคลียร์คิวไม่ได้ง่ายๆหรอก” ริมฝีปากหนายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเพื่อนสนิทอีกคนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน รายนั้นเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ที่มีสาวมาติดพันมากมาย ยิ่งในช่วงเทศกาลแบบนี้คงมีสาวให้ดินเนอร์ไม่ซ้ำวัน
ปทิตตากวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เมื่อเห็นสิ่งที่ตนเองชอบวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเหลือบสายตามองใครอีกคน ริมฝีปากยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
หันหาเพื่อนสนิทของพี่ชายที่เธอเลือกนั่งตรงข้ามเขา แล้วคอยเหล่มองพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างกันกำลังสาละวนอยู่กับการแกะกุ้งตัวใหญ่ ยกยิ้มอย่างพอใจ จึงหันไปเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงหวาน กิริยาออดอ้อนที่คิดว่าน่ารักโดยไม่สนสายตาใครที่กำลังจ้องมองอยู่ด้วยความไม่ชอบใจนัก
“พี่ปราบขา”
“ครับ”
“แกะปูให้ปายหน่อยได้ไหมคะ”
“เอ่อ...ได้ครับ เดี๋ยวพี่แกะให้” มีสีหน้าลังเลเล็กน้อยเหลือบมองสีหน้าเรียบเฉยของแฟนสาว แอบกังวลอยู่ในใจเพราะตลอดสองวันมานี้ดูเธอเงียบขรึมไปกว่าเดิมมาก แต่เขาก็ใจอ่อนเอ่ยปากรับคำเพราะทนเสียงอ้อนที่กำลังร้องขอให้เขาทำให้ไม่ไหว ยอมหยิบปูมาแกะ
“เห้ยไม่ต้อง เดี๋ยวกูแกะให้น้องเอง มึงดูแลแฟนมึงไปเถอะ”
“ไม่เป็นไร”
“ค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้พี่ปราบเขาดูแลคนอื่นเถอะ วิฬาร์ดูแลตัวเองได้” คนรักสาวของอาจารย์หนุ่มตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง จนเขาถึงกับผงะ ชะงักมือที่กำลังแกะก้ามปูไปทันที ทว่า...หญิงสาวอีกคนกลับใช้โอกาสที่อีกฝ่ายเอ่ยคำประชด สวมรอยรับสิ่งนั้นอย่างหน้าชื่นจนคะนิ้ง ที่มองอยู่นึกหมั่นไส้อยู่ในใจ
“อุ้ย....พี่วิฬาร์ใจดีจังเลยนะคะ ขอบคุณนะคะพี่วิฬาร์” ปทิตตาแสร้งฉีกยิ้มหวานให้กับอีกฝ่าย ตีสีหน้าคล้ายกับซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของอิงค์วิฬาร์เสียเต็มประดา เป็นภาพขัดตาคนเป็นเพื่อนสนิทอย่างคะนิ้ง อยู่พอสมควร จนต้องหันไปหยิบแก้วเครื่องดื่มของตัวเองที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ยกขึ้นดื่มดับความร้อนรุ่มหงุดหงิดภายในใจ
ปารย์ณวิชแม้จะรู้สึกอึดอัด และแอบเกรงใจสาวคนรักอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังเอื้อมมือไปหยิบปูตัวใหญ่ที่วางอยู่บนจานเปลมาแกะอย่างชำนาญโดยมีอุปกรณ์ทุ่นแรงช่วยแกะ ใช้เวลาไม่กี่นาทีเนื้อปูชิ้นใหญ่ก็ถูกยื่นมาวางใส่จานของน้องสาวเพื่อนสนิท
“อุ้ย...ขอบคุณนะคะพี่ปราบ...ว่าแต่พี่ปราบไม่แกะให้พี่วิฬาร์บ้างเหรอคะ...เดี๋ยวพี่วิฬาร์น้อยใจแย่เลยนะคะ”
ปารย์ณวิชได้ยินดังนั้นจึงตักเนื้อปูอีกส่วนที่แกะไว้ ใส่จานของแฟนสาว ขณะที่เธอนั้นกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ปั้นยาก นั่งนิ่งเฉย ก่อนจะแหงนเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา
“อ้าวพี่วิฬาร์ไม่ทานเหรอคะ” ปทิตตาแสร้งถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังนั่งนิ่ง ไม่ยอมตักเนื้อปูใส่ปาก ทำสีหน้าคล้ายกับแปลกใจ
“ค่ะพี่ไม่ทาน”
“ทำไมละคะ หรือว่า...”
“พี่แพ้ปูน่ะค่ะ”
“อุ้ยตายจริงวิฬาร์ขอโทษนะคะ...แล้วพี่ปราบไม่ทราบเหรอคะว่าพี่วิฬาร์แพ้ปู” แกล้งหันมาถามชายหนุ่มที่กำลังนั่งอึ้งด้วยความตกใจ เพราะตนเองลืมไปเสียสนิทว่าแฟนสาวแพ้อาหารทะเล ทั้งๆที่เมื่อกลางวันเราก็ทะเลาะกันมาด้วยเรื่องนี้หนหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังลืม หันไปสบตาคนรักที่กำลังมองเขาอย่างตัดพ้อ เสียใจ ก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ ทว่าเขากับตีสีหน้านิ่งขรึมไม่พูด หรือแสดงออกอะไรใดๆ นอกจากตักอาหารใส่เขาปาก ขณะที่เธอเอ่ยตอบอีกฝ่ายเสียงเบา
“ไม่เป็นไรค่ะ เขาลืมแบบนี้เสมอล่ะค่ะพี่ชินแล้ว”
“เอ่อ...งั้นน้องวิฬาร์ทานนี่ไหมครับ” นายแพทย์หนุ่มพยายามแก้สถานการณ์ด้วยการคีบเนื้อหมูที่ย่างสุกกำลังดีใส่จานให้กับหญิงสาว
“ขอบคุณนะคะ”
“งั้นพี่วิฬาร์ ทานแซลมอลซาซิมิได้ไหมคะ อร่อยมากเลยนะคะ หวานด้วย”
อิงค์วิฬาร์เม้มปากแน่น เจ็บแปลบกับคำถามนั้น ก่อนจะตอบเสียงแข็งว่า
“ไม่ค่ะ พี่แพ้ของดิบของสดทุกชนิด โดยเฉพาะแซลมอล” ได้ยินดังนั้นปทิตตาถึงกับตาลุกวาวด้วยความพอใจ
“อ้าว...งั้นนี่ก็แสดงว่าพี่ปราบตั้งใจซื้อแซลมอลซาซิมิมาให้ปายเหรอคะ งื้อ...ขอบคุณนะคะพี่ปราบ”
“ยัยปาย...พูดให้มันน้อยๆหน่อย อย่าทำเป็นไม่รู้ความนักเลย” นายแพทย์หนุ่มหันมาปรามน้องสาวเสียงเครียด อับอายที่คนเป็นน้องพูดจาอะไรเลอะเทอะไม่เข้าหู ขณะที่อิงค์วิฬาร์กลับนั่งนิ่ง รู้สึกลำคอตีบตันแทบกลืนอาหารไม่ลง สองมือกำเนื้อผ้ากระโปรงแน่นอยู่ใต้โต๊ะ จนคะนิ้งที่แอบสังเกตเห็น เอื้อมมือมาจับมือของเพื่อนสนิทอย่างปลอบประโลม
ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวอีกคนที่ยังตีสีหน้าใสซื่อจนหล่อนนึกรำคาญอยู่ในใจ
“ขอโทษนะคะ ว่าแต่คุณน้องปายนี่อายุเท่าไหร่แล้วเหรอคะ”