Dararai Hospitel (7 ปีต่อมา)
“เด็กน้อย...ถ้าเรายังไม่ตื่นอีกหลังจากนี้ไปเฮียจะไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเราได้แล้วนะ”
[เสียงของใครกันนะ ทำไมฟังดูอ่อนโยนจัง]
น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนพูดแผ่วเบาใกล้ๆ หญิงสาวที่กำลังหลับใหลเป็นเจ้าหญิงนิทรามาเกือบ 7 ปี เขาพยายามมากที่จะยื้อเธอไว้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์
........
“อืออออ”
เสียงเปล่งออกมาจากลำคออย่างเหนื่อยล้าของร่างผอมแห้งที่หลับใหลราวกับเจ้าหญิงนิทราอยู่บนเตียงผู้ป่วยมาหลายปี ในที่สุดก็ยอมขยับตัวสักทีเปลือกตาที่ปิดสนิทมานานค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแต่กว่าสายตาของเธอจะปรับสภาพรับแสงและมองเห็นได้ชัดก็ใช้เวลาหลายนาทีเลย
“คุณคะนี่มันก็หลายปีแล้วจะยื้อไว้ทำไม อีกอย่างฟื้นขึ้นมาทำอย่างกลับมันจะหายบ้า รีบให้หมอถอดเครื่องช่วยพวกนี้ออกก็ตายแล้วไหม จะเสียเงินทำไมปีละเป็นล้านเพื่อช่วยคนไม่ประโยชน์”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงนิ่มก็เป็นลูกสาวผมคนหนึ่งเหมือนกัน” พจน์ รีบแสดงท่าทางไม่พอใจใส่ เพียงพร ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของตัวเอง
[น่ารำคาญจริงๆ ใครมาพูดแถวนี้]
คนที่นอนอยู่ค่อยๆ เหลือบสายตาไปมองทางต้นเสียง เธอรู้จักสองคนนี้เพราะทั้งคู่อยู่ในความฝันอันแสนยาวนานของเธอ ทำไมกันนะทั้งที่ไม่เคยรู้จักเลยสักนิดแต่ทำถึงได้ฝันเป็นเรื่องราวขนาดนั้น แล้วสายระโยงระยางพวกนี้คืออะไรหรือเธอจะถูกแทงแต่ยังไม่ตาย
“ไม่รู้ล่ะ!! ถ้ามันไม่ตายพายุก็ไม่ยอมแต่งงานกับน่านน้ำ คุณรักยัยนิ่มคิดว่ามันเป็นลูก แล้วน่านน้ำล่ะ!! น่านน้ำต่างหากที่เป็นคนต้องได้หมั้นกับพายุ ถ้าไม่ใช่เพราะอีเด็กบ้านี่เกิดมาลูกฉันก็ต้องได้สิ่งที่เหมาะสม”
“คุณเบาๆ หน่อยที่นี่โรงพยาบาลนะ”
“ใครมันจะได้ยิน อีเด็กบ้าสมอง 3 ขวบนี่นะเหรอ ให้มันตื่นขึ้นมาเลย ต่อให้ตื่นมันก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดหรอก”
เพียงพรพูดอย่างเดือดดาล เธอเกลียดแม่ของอีเด็กคนนี้ที่เอาตัวเข้าแลกมานอนกับสามีจนมีลูกด้วยกัน เกลียดตัวมันเกิดมาแย่งสิ่งที่ควรเป็นลูกสาวของเธอ เพราะตระกูลอัครสกูลวงศ์ของสามี มีสัญญาแต่งงานกับอนันท์พิบูรวงศ์ษาตระกูลเก่าแก่ที่มีอิทธิพลและยังผู้คุมแก๊งมาเฟียใหญ่แห่งทิศบูรพา แต่ในสัญญาดันมีข้อกำหนดว่าต้องแต่งกับลูกคนโตเพียงเท่านั้น
“แต่นิ่มยังไม่ตายไง ต่อให้เธอสมองเป็นแค่เด็ก 3 ขวบแต่พายุก็ยืนยันเองว่าจะแต่ง ขอแค่เธอยังมีชีวิตอยู่เขาจะไม่แต่งกับคนอื่น”
“ก็ใช่ไง!! เราถึงควรฆ่ามันหรือคุณเห็นลูกอีคนใช้ดีกว่าลูกสาวตามกฎหมาย”
“ผม...”
[เป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้เลย สิ่งที่คนเป็นพ่อควรตอบคือยังไงก็ลูกสาวตัวเองทั้งคู่สิ...แล้วเรี่ยวแรงฉันหายไปหมดเนี่ย]
“ไม่กล้าใช่ไหม งั้นฉันทำเองติดคุกฉันก็ยอม ขอแค่ลูกฉันได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก” เพียงพรปรี่ไปที่เตียงคนไข้ด้วยความโมโห แต่พอมาถึงเธอก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ดวงตาที่ปิดสนิทมาตลอดหลายปีตอนนี้กลับจ้องมาทางเธออย่างไม่วางตา
“คุณอย่าทำอะไรบะ...บ้า นิ่ม!!”
พจน์ที่รีบเข้ามาจะห้ามตกใจ เมื่อเห็นลูกสาวคนโตที่นอนเป็นผักมาหลายปีมองมาทางตัวเองกับภรรยา เขาตั้งสติได้ก็รีบกดสัญญาณเรียกหมอมาดูอาการ
“ญาติคนไข้ออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ”
หมอกับพยาบาลที่เข้ามาถึงก็รีบเชิญญาติคนป่วยออกไปข้างนอก
“เป็นเพราะคุณ ถ้าปล่อยให้มันตายตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว” เพียงพรกำมือเข้าหากันแน่น ถ้ามันฟื้นก็แปลว่าลูกสาวเธอก็จะไม่มีทางได้แต่งงานเข้าไปตระกูลนั้น ความหวังที่จะให้ลูกเป็นนายหญิงก็พังลงหมด
ไม่นานหมอที่หายเข้าไปในห้องก็ออกมาพร้อมกับรายงานการตรวจเพื่อรายงานให้ญาติคนไข้รู้ แต่สีหน้าทั้งสองคนไม่ได้ดูดีใจเลยสักนิด
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ อาจจะมีแค่อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะไม่ได้ขยับร่างกายเป็นเวลานาน ทำกายภาพสัก 2 อาทิตย์ก็กลับแข็งแรงแล้วครับ”
“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”
หลังจากหมอเดินออกไปพจน์ก็มองผ่านช่องกระจกตรงประตูมองลูกที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง
“เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวให้นมสามาเฝ้า”
“เป็นเพราะคุณไม่ยอมเด็ดขาด มันถึงยังอยู่เป็นหนามทิ่มแทงใจฉันอยู่แบบนี้” ตอนนี้นอกจากอีเด็กบ้าคนนี้แล้วยังมีสามีที่เธออยากจะฆ่าให้ตาย
ร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ พยุงตัวให้ตัวเองลุกขึ้นหลังจากรู้สึกว่าเสียงพูดหน้าห้องพักเงียบไป
“ไม่ใช่ร่างเรา”
นารันยกมือทั้งสองข้างผอมแห้งขึ้นดู สายตาของเธอมองไปยังโทรทัศน์ขนาดใหญ่ตรงหน้าที่กำลังสะท้อนร่างกายคนที่เธออาศัยอยู่
ทำไมเธอถึงมาอยู่ร่างนี้ได้นะ ถ้างั้นความฝันที่เธอเห็นซ้ำไปมา ความน่าเวทนาของเด็กหญิงสติไม่ค่อยสมประกอบคนนี้ได้รับมันคือเรื่องจริง ต้องจะปวดขนาดไหนกันนะสมองถึงได้จดจำขนาดนี้ แล้วตัวเราล่ะเป็นยังไง
ถึงแม้จะอยากรู้เรื่องของตัวเอง แต่ด้วยสภาพร่างกายที่แทบไม่มีแรงจะขยับด้วยซ้ำ จะให้หาความจริงอะไรได้
[นอนก่อนแล้วกัน มีแรงเมื่อไหร่ค่อยตามหาความจริง]
เธอเลือกที่จะเอนตัวลงนอนอีกครั้งเพราะความเหนื่อยล้า ร่างกายเด็กคนนี้อ่อนแอมากเกินไปจริงๆ แต่ก็อย่างว่าเธอจะไปดูแลอะไรได้สมองของเธอหยุดการพัฒนาและเรียนรู้แม้กระทั่งการดูแลปกป้องตัวเองไม่ได้
“คุณหนูนิ่มของนม ในที่สุดทูนหัวของนมก็ยอมตื่นสักที นอนนานขนาดนี้ไม่คิดถึงนมบางเหรอคะ”
มือที่แสนอบอุ่นลูบผมนุ่มสลวยด้วยความอ่อนโยน ดูเหมือนว่าแม้จิตใจและวิญญาณจะเป็นของนารัน แต่จิตใต้สำนึกกลับยังมีความรู้สึกของเจ้าของร่างคนเดิมหลงเหลืออยู่ นั่นเลยทำให้น้ำตาใสไหลลงอาบแก้มคนที่กำลังหลับ
[ดูท่าทางเธอจะรักแม่นมคนนี้มากสินะ]
ก็คงใช้แหละเพราะในความฝันก็มีแค่หญิงชราคนนี้คอยดูแลเธอ เอาเถอะฉันจะดูแลให้แทนก็แล้วกัน
“อืออออ” นารันส่งเสียงเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ตกใจว่าเธอตื่นแล้ว
“คุณหนูนี่นมทำให้ตื่นหรือเปล่าคะ”
เธอเลือกที่จะส่ายหัวไปมาแทนการตอบด้วยคำพูด เธอยังไม่คุ้นชินกับการพูดแบบนั้น ขืนพูดแบบคนปกติมีหวังตกใจกันแน่
“หิวน้ำหรือเปล่าคะ” สาถามคนที่เพิ่งฟื้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หญิงสาวก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับ เธอเลยเดินไปรินน้ำใส่แก้วพร้อมกับใส่หลอดให้อีกฝ่ายดูด “ค่อยๆ ดื่มนะคะ 7 ปีแล้วสินะที่คุณหนูนอนอยู่แบบนี้”
พรวด!!
“แค่ก ๆ “
คนที่กำลังดื่มน้ำพอได้ยินคำว่า 7 ปีก็ทำเอาเธอถึงกับสำลักน้ำออกมา
[ตอนนี้พอพ.ศ.อะไร?]
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” สาเห็นนิ่มหน้าแดงก่ำก็ถามด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นหญิงสาวหันมองซ้าย ขวาด้วยท่าทางร้อนรนเธอยิ่งเป็นห่วง ปกติคุณหนูถ้าเป็นแบบนี้แปลว่ากำลังกลัวอะไรอยู่ นารันเลือกที่จะส่ายหัวไปมาดูท่าทางเธอคงต้องหาคำตอบเรื่องนี้
[เด็กสาวคนนี้ตกน้ำตายก่อนแล้วเธอเพิ่งเข้ามาอยู่ในร่างตอนที่ถูกแทงหรือว่าตัวเธอเองอาจจะหลับแล้วแค่สลับร่างกัน...ไม่ก็ร้ายแรงหน่อยก็คือเธอตายเมื่อ 7 ปีที่แล้ว]