ตกดึกของวันนั้น หญิงสาวที่เป็นคนไข้ตื่นขึ้นมาในยามวิกาล เธอลุกขึ้นเดินลงจากเตียงแล้วตรงมาหาแม่นมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ๆ คนหลับเบามือมากที่สุด ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง
“ดีนะที่เป็นรุ่นไม่ใหม่มาก ไม่งั้นคงใช้ไม่เป็นแน่”
นารันกดค้นหาข้อมูลก่อนจะเข้าอีเมลตัวเองที่ไม่ได้ใช้มาเกือบ 7 ปี ดีนะที่บัญชียังไม่ถูกปิดใช้บริการไป
ถึง Veehaiyai@gmalh.com
ฉันรู้เรื่องการตายของนารันเมื่อ 7 ปีก่อน ถ้าอยากรู้เพิ่มเติมมาเจอกันที่ดาดฟ้า Dararai Hospitel พรุ่งนี้มาเจอกันตอนบ่ายโมงห้ามสายเด็ดขาด
หวังว่าวีคงจะยังใช้อีเมลอยู่และเข้าอ่านมันนะเพราะทั้งสองแอคเคาท์มีเพียงเธอกับวีเท่านั้นที่รู้ ถ้าเขาได้อ่านมันคงจะมาเจอเธอแน่ๆ หลังจากนั้นเธอก็ลบทุกอย่างออกจากโทรศัพท์นมสาแล้วเดินเอากลับไปวางไว้ที่เดิม
“ขอโทษนะนมสา พรุ่งนี้หลับไปสักพักก่อน”
เธอเปิดลิ้นชักแล้วหยิบยาเม็ดนอนหลับเล็กๆ ออกมา เพราะนมสาเล่าอาการที่เธอเดินออกจากห้องพักคนเดียว หมอเลยให้ยามาหนึ่งเม็ดเพิ่มเมื่อวาน แต่เธอไม่ได้กินเลือกที่จะแอบเก็บไว้เผื่อต้องใช้และก็ได้ใช้มันจริง
............
“คุณหนูนอนรอนมอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวนมขอเข้าห้องน้ำก่อน”
สาหันไปพูดกับนิ่มที่กำลังนั่งเล่นตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นก็ปลีกตัวเดินเข้าไปทำธุระส่วนตัว
นารันลุกเดินไปหยิบยาในลิ้นชักแล้วหยิบแจกันหนักบดให้ละเอียดก่อนจะเดินเอาไปเทลงในขวดน้ำของนมสา พอเขย่าจนไม่มีตะกอนก็เดินกลับมานั่งที่เดิม ตอนนี้เวลาก็เที่ยงกว่า ๆ ได้แล้ว เธอได้แต่หวังว่านมสาจะรีบหลับก่อนเวลาบ่าย
“นมสากินน้ำ กินน้ำ ออกจากห้องน้ำมาต้องกินน้ำคุณหมอจวยๆ บอก”
“คุณหนูอยากให้นมกินน้ำเหรอคะ”
“น้ำกินน้ำเยอะๆ”
ใบหน้ายิ้มแย้มของคุณหนูตัวเองทำให้สาอดดีใจไม่ได้ที่ตอนนี้นิ่มกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
[ขอโทษจริงๆ แต่ช่วยหลับไปก่อนสักพักนะคะนมสา]
หลังจากนั้นไม่นานสาก็ง่วงจนหลับไป นารันเดินไปรื้อเสื้อผ้าในกระเป๋าที่วางอยู่ ดีที่มีชุดของนิ่มอยู่อาจจะเป็นนมสาเตรียมมาเผื่อตอนเธอจะออกจากโรงพยาบาล
เธอรีบเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำทันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองเลยเลือกเปลี่ยนชุดโรงพยาบาลออก พอเสร็จก็รีบออกจากห้องผู้ป่วย เดินตรงไปที่ลิฟต์ก่อนจะกดชั้นบนสุด เธอเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นบนสุดก่อนจะเดินมาเปิดประตูเหล็กเก่าๆ
ภาพแผ่นหลังใหญ่ของชายที่คุ้นตายืนหันหลังมาทางเธอสูบบุหรี่ในมือพ้นควันออกมาไม่หยุด ดูจากท่าทางคงจะคิดหนักเรื่องข้อความที่เธอส่งให้อยู่แน่ ๆ ปกติวีจะเป็นแบบนี้ประจำเวลามีเรื่องให้คิดจนแต่ก่อนเธอต้องออกปากห้าม
“ขอโทษที่มาช้า”
เสียงผู้หญิงที่วีไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้เขาหันกลับไปมอง เขาไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้และนารันก็คงไม่มีทางรู้จักเธอแน่ แต่ทำไมเธอถึงรู้อีเมลที่เขาใช้แค่กับคนที่ตายไปแค่สองคนล่ะ
“เธอเป็นใคร? ทำไมถึงใช้เมลนั้นส่งข้อความมาหาฉัน”
[สำหรับนายนานแค่ไหนแล้วนะวีกับการตายไปของฉัน]
ใบหน้าที่ดูสูงวัยตามกาลเวลาทำให้เธออดเศร้าไม่ได้เพราะเธอไม่มีสิทธิ์ได้เห็นตัวเองในวัยนี้
“ฉันถามเธอไม่ได้ยินหรือไง!! แล้วเรื่องที่เธอบอกว่า”
วีก้าวขาเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงร่างผอมบางที่นัดตัวเองมามือของเขากำรอบคอเล็กหวังให้เธอคายความลับ แต่สายตาของอีกฝ่ายที่จ้องตากลับราวกับว่าไม่กลัวเขาเลยสักนิด มันเป็นประกายบางอย่างเหมือนใครบางคนมากจนเขาค่อยๆ คลายมือออก
“ใจเย็นขึ้นแล้วใช่ไหม”
“เธอเป็นใคร”
“ฉันชื่อนิ่ม พิชญ์สินี อัครสกูลวงศ์ เผื่อจะเอาไปสืบประวัติ”
“ทำไมเธอถึงบอกว่ารู้เรื่องการตายของนารัน เธอไปรู้อะไรมา”
“ฉันรู้มาเยอะเลย แต่ก่อนที่ฉันจะบอกช่วยอะไรฉันสักอย่างก่อนได้ไหม”
“เด็กน้อย! เธอรู้ตัวไหมกำลังต่อรองกับใครอยู่” วีจ้องมองอีกฝ่ายที่ไม่ได้ดูหวาดกลัวเขาเลยสักนิด
“ถ้าไม่รู้ฉันคงนัดออกมาไม่ได้...ฉันไม่มีเวลามาก ช่วยหาหมอที่ไว้ใจได้มารักษาโรคออทิสติกให้ฉันหน่อย”
“ห๊ะ!! เธอกำลังเล่นอะไร”
โรคออทิสติกเนี่ยนะ ยัยเด็กตรงหน้าเขาตอนนี้คิดจะเล่นอะไร
“ไม่! ฉันไม่ได้เล่น อาทิตย์หน้าฉันจะหาทางไปอยู่ที่บ้านของย่าแล้วจะส่งข้อความบอก หลังจากนั้นนะ...ไม่สิ คุณต้องหาทางให้หมอคนนั้นเข้ามารักษาฉันให้ได้”
“ย่าเธอคือใคร?”
“คุณหญิงอรวรรณ อัครสกูลวงศ์ ฉันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับย่ามากนัก แต่ได้ยินแม่นมบอกว่าท่านมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับหลังบ่อยๆ และจะมักมารักษาที่โรงพยาบาลทุกอาทิตย์ คุณก็หาทางเข้าหาย่าฉันให้ได้แล้วกัน บอกได้แค่นี้” เธอเคยได้ยินนมสาบ่นเรื่องนี้กับคนสนิทคุณย่าเรื่องอาการป่วยของท่านตอนเอาอาหารมาส่ง
“แต่ทำไมฉันต้องช่วยเธอด้วยล่ะเด็กน้อย”
“ฉันไม่ได้บังคับให้คุณช่วย แต่ข่าวเรื่องการตายของผู้หญิงที่คิดว่าคุณคือครอบครัวของตัวเองก็จะไม่ถูกคายออกมาเหมือนกัน”
คำพูดของเด็กสาวตรงหน้ากระตุ้นความทรงจำบางอย่างของเขา ทำให้เขาหยุดชะงักย้อนนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่าง
'วี! นายเหมือนญาติคนเดียวที่ฉันมีนะ ตั้งแต่พ่อฉันรับเลี้ยงนายพวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน แม้กระทั่งนายยังไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับฉัน หลังจากนี้ฉันจะไว้ใจใครได้อีก'
“งั้นเธอบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงบอกว่าให้รักษาโรคออทิสติก เธอก็ดูปกติดีนะ”
มันจะมีคนเป็นโรคออทิสติกแบบไหนยืนจ้องหน้าเขาอย่างไม่หวาดกลัวแบบนี้
“ก่อนหน้านี้ฉันมีเห็นจำเป็นต้องแกล้งบ้า แต่การจะกลับมาเป็นปกติในสายตาคนอื่นมันก็ต้องมีตัวช่วยและคุณที่เคยเป็นคนสนิทของอดีตผู้นำหญิงเพียงคนเดียวของตระกูลเวสิกาคงเป็นตัวเลือกดีที่สุด”
เธอเลือกที่จะโกหกคนตรงหน้า ตอนนี้เธอไม่ใช่นารันอีกต่อไปแล้วเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับวีเพราะแบบนั้นจะเล่าทุกอย่างให้เขาฟังไม่ได้ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังจะต้องเป็นนิ่มเพื่อไม่ให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในภายภาคหน้าจึงต้องใช้วีเพื่อเปลี่ยนนิ่มเป็นคนปกติในสายตาทุกคนก่อน
“เธอก็ดูเป็นแค่เด็กอายุคงไม่ถึงยี่สิบห้าด้วยซ้ำ แต่รู้เรื่องเยอะพอตัวนะ”
“ฉันรู้อะไรมากกว่าที่คุณคิด เอาละค่ะฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้น คุณจะไปสืบเรื่องของฉันก่อนได้นะคะ...อีก 3 วันฉันจะถามไปทางเมลว่าคุณตกลงจะช่วยหรือเปล่า แต่ฉันหวังว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ขอตัวค่ะ”
วีมองร่างผอมแห้งของหญิงสาวที่เดินออกไป ตอนนี้ในหัวของเขาสับสนไปหมด เมื่อคืนหลังจากที่เขาเห็นข้อความเข้าอีเมลก็แทบบ้าข้อความจากเมลลับของคนที่ตายจากชีวิตไปเกือบ 7 ปีปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาต้องรู้เรื่องผู้หญิงคนนี้ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร พอคิดแบบนั้นเลยหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโทรหาคนสนิท
“เข้มมึงไปสืบประวัติคนชื่อพิชญ์สินี อัครสกูลวงศ์ ฉันต้องการประวัติเธอรวมถึงคนใกล้ตัวเอาแบบละเอียด ให้เวลาถึงพรุ่งนี้”
(ครับเจ้านาย)
หลังจากสั่งงานลูกน้องเสร็จเขาก็ออกจากประตูดาดฟ้าตรงไปลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ต้องการก็ก้าวขาออกทันทีแต่ไม่ทันระวังระหว่างเดิน เขาที่กำลังดูรูปภาพที่ลูกน้องส่งมาให้ก็ชนเข้ากับใครบางคนอย่างแรง
“ขอโทษครับ”
เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักชายหนุ่มคนนี้นะเพราะเพิ่งเจอกันไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
'พายุ หัวหน้าทิศบูรพา' ชายที่อยู่จุดสูงสุดของแก๊งทั้งหมดในทิศบูรพาตั้งแต่อายุน้อย