ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลังจากที่รวีวิทย์วางสายจากการเรียกตัวฌอนแล้ว รุจรวีที่ทำหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ พี่ชายตลอดเวลาที่อีกฝ่ายโทร.ไปหาไอ้โรคจิตนั่นก็อยากจะกระชากโทรศัพท์ในมือพี่ชายออกมาทิ้งเหลือเกิน แต่ที่ไม่ทำเพราะไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน สิ่งที่ทำได้จึงได้แต่มอง ‘คุณพ่อวิทย์จอมบงการ’ ตาขวางในขณะที่ศุภางค์นั่งเงียบกอดหมอนอิงมองศึกพี่น้องด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่หูผึ่งกางฟังทุกคำพูด
“พี่จะโทรเรียกนายนั่นให้มาบ้านเราทำไมคะ” รุจรวีถามเมื่อพี่ชายวางโทรศัพท์มือถือไว้บนตัก ใบหน้าเรียวเล็กบูดบึ้ง ดวงตากลมโตที่ประจำทอประกายสุกใส บัดนี้กลับขุ่นมัวด้วยความโกรธ “ไม่เชื่อที่รวีเล่ารึไง”
หญิงสาวถาม ลุกขึ้นยืนตรงหน้าพี่ชายที่เอนกายพิงพนักโซฟา ทิ้งศีรษะลงกับพนักพิงด้วยท่าทีของคนหมดแรง แถมกางแขนจนแทบจะเกยไหล่เพื่อนสนิทน้องสาวแต่เป็นคู่ปรับของเขาอยู่รอมร่อ จนศุภางค์ต้องรีบคีบนิ้วอีกฝ่ายแล้วสะบัดทิ้งไปทางเจ้าตัวโดยเร็ว
“ไม่ใช่พี่ไม่เชื่อ แต่พี่อยากฟังความจริงจากทั้งสองฝ่าย” รวีวิทย์แย้งท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง หากคนเป็นน้องกลับแทบจะเต้นผาง...ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยที่พี่ชายเป็นคนมีเหตุมีผล แต่เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เธอขอหมายหัวว่าคือ ‘ศัตรูตัวร้าย’ และสุดยอดผู้ชาย ‘ไม่น่าเข้าใกล้’ ต่างหาก
“แล้วที่รวีเล่ามันไม่ใช่ความจริงรึไง พี่นั่นแหละค่ะที่ต้องดูแลคนของพี่ให้ดีๆ อย่าปล่อยให้มายุ่งกับรวี”
หญิงสาวเถียงข้างๆ คูๆ จนคนเป็นพี่ชายต้องผงกศีรษะมองน้องสาวแวบหนึ่งแล้วทิ้งศีรษะลงกับพนักเก้าอี้ตามเดิมพูดว่า
“อย่าทำโมโหกลบเกลื่อนนะรวี เรามีความผิดรู้ไหมที่ไม่เล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟัง นี่ดีนะที่คนที่ทำกับรวีแบบนี้คือฌอน ถ้าเป็นคนอื่นรวีจะได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าพี่รึเปล่า คิดบ้างไหม? วันนั้นบอกแล้วว่าให้พี่ไปรับก็ไม่ยอม”
เขาเทศนากึ่งถามให้อีกฝ่ายได้คิดออกมายาวเหยียด ทำเอารุจรวีพูดไม่ออก เถียงไม่ได้เลยได้แต่เอาสีข้างไถตอบไปว่า
“ก็รวีไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
“ยิ่งเราไม่ใช่เด็กนั่นแหละยิ่งอันตราย”
“พี่วิทย์! นี่มาโทษรวีเหรอ พี่นั่นแหละเป็นคนยอมให้รวีไปเองแท้ๆ” เมื่อเถียงสู้ไม่ได้ทำให้รุจรวีจัดการโยนความผิดให้พี่ชายทันที ใช่! ต้องเป็นเพราะพี่วิทย์นั่นแหละที่ดันคิดบ้าอะไรไม่รู้มาบังคับให้เธอไปที่นั่น ไม่รู้แหละ...ที่มันเป็นข่าวก็ต้องโทษพี่วิทย์ อ้อ...ไอ้นายแบบโรคจิตนั่นด้วย!
“ใช่...แพมก็เหมือนกัน” คนโดนโยนความผิดใส่รีบโยนต่อไปให้หญิงสาวที่นั่งเงียบข้างๆ ทันที ร่างสูงเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นนั่งหลังตรงแล้วมองศุภางค์ด้วยสายตาดุจัด ทำเอาคนโดนมองเสียววาบตั้งแต่หัวจรดเท้า “ทำไมไม่ดูแลรวีให้พี่ ไหนสัญญาแล้วว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด”
“ก็แพม...” ศุภางค์ถึงกับรีบหันไปขอความช่วยเหลือรุจรวี เพื่อนสนิทมองอย่างรู้กันแล้วรุจรวีจึงพูดขัดขึ้นว่า
“ไม่ใช่ความผิดของแพมนะคะ คนผิดก็นายนั่นคนเดียวเลย คอยดูสิ! เจอหน้ามื่อไรจะด่าๆๆ ซะให้เข็ดเลย”
“เฮ้ยไอ้รวี แกใจเย็นๆ นะเชื่อฉัน” คนโดนช่วยรีบทิ้งหมอนที่กอดไปทางพี่ชายเพื่อน ถลาไปลูบไหล่บางของคนตัวเล็กกว่าอย่างรับมุขนั้นทันควัน หาไม่หากปล่อยช่องว่างรวีวิทย์นักเทศน์อาจจะหันมาเทศน์พวกเธอจนหูชากันเป็นแถบๆ ฉะนั้นต้องรีบฉวยโอกาสที่รุจรวีเบี่ยงประเด็นให้โดยเร็ว
“ฮึ่ม...” รุจรวีครางฮึ่มฮั่มในลำคอ สีหน้าขึงขัง
หากรวีวิทย์กลับส่ายหน้าอย่างระอา ทำไมจะไม่ทันเกมของน้องสาวและยัยแพมตัวแสบ แต่เขาจะปล่อยไปก่อนแล้วค่อย ‘ฉะ’ รอบเดียวเมื่อตัวการอีกคนมาถึงที่นี่
“เอาละ สองสาวพอแล้ว นั่งนิ่งๆ แล้วรอนายฌอนมาแล้วกัน”
เขาโบกมือเป็นเชิงประกอบคำพูด แต่ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นราวกับจะบังคับให้สองสาวต้องปฏิบัติตาม รุจรวีและศุภางค์จึงได้แต่ทรุดลงนั่งข้างๆ รวีวิทย์แต่โดยดี ในขณะที่ชายหนุ่มคนเดียวของบ้านก็เอาแต่เงียบ...จนน้องสาวคนเดียวคนกลัวใจไม่ได้
หึ!...เป็นเพราะนายฌอนนั่นคนเดียวที่คิดอะไรบ้าๆ ก็ไม่รู้แกล้งเธอจนเป็นข่าวโด่งดังขนาดนี้ ถ้าทุกอย่างมันจะผิดก็ผิดที่นายนั่นนั่นแหละ!
เธอไม่ยอมให้พี่วิทย์คิดว่าเธอเป็นคนผิดคนเดียวแน่ๆ!
๐๐๐
เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นทำให้คนสามคนที่กำลังคอยอยู่ผุดลุกขึ้นทันควัน โดยเฉพาะรุจรวีที่กำมือเป็นหมัดแน่น ดวงตาคู่สวยวาววับเมื่อคิดว่า ‘ตัวต้นเหตุ’ ของเรื่องได้เดินทางมาถึงแล้ว
“พี่วิทย์ไม่ต้อง รวีไปเปิดเอง!”
รุจรวีดึงมือพี่ชายให้นั่งลงตามเดิม แล้วหญิงสาวก็เป็นฝ่ายเดินตัวแทบจะปลิวตรงไปยังประตูบ้านเพื่อไปเปิดรับนายแบบโรคจิตนั่นเข้ามา ทิ้งให้คนที่เหลือมองตากันอย่างงุนงง
“พี่วิทย์จะไม่ตามออกไปเหรอคะ?”
ศุภางค์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบร้อยไร้ร่องรอยกวนอารมณ์อย่างที่เคยเป็นทำเอารวีวิทย์แปลกหู แต่ก็ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับสาวเจ้าในเวลานี้จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วตอบ
“ไม่”
๐๐๐
ทางด้านฌอน ชายหนุ่มก้าวลงจากรถจากัวร์ลูกรักคันงามได้ก็มายืนรัวนิ้วกดกริ่งรอให้เจ้าของบ้านมาเปิดประตูให้อย่างไม่เกรงใจว่าเจ้าของบ้านจะรำคาญแต่อย่างใด ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหลือบดำถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดสีชายี่ห้อหรูที่เจ้าตัวไม่คิดจะถอดแม้ในเวลานี้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ตาม ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากหยักสวยของตนเองแน่นอย่างไม่ชอบใจนักที่รวีวิทย์ออกมาเปิดประตูให้ช้า จมูกโด่งเป็นสันสวยพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดออกมา ในขณะที่เขาก็หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ กาย เขาเคยมาบ้านหลังนี้ไม่กี่ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเขาก็ไม่เคยเจอน้องสาวของอีกฝ่ายเลย
ใช่...จำได้ลางๆ จากปรัชญ์ที่บอกว่าผู้จัดการส่วนตัวของเขามีน้องสาวอยู่หนึ่งคน อายุห่างกันเกือบสิบปีทำให้ฌอนไม่คิดจะสนใจ อันที่จริงแล้วฌอนยึดคติไม่ยุ่งกับผู้หญิงใกล้ๆ ตัวต่างหาก แม้มันจะท้าทายแต่มันจะก่อให้เกิดปัญหาในยามที่เขาต้องการไปหาคนใหม่นั่นแหละ
ฌอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วจึงยกแขนล่ำของตนกอดอก ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเมื่อไม่มีใครมาเปิดประตูให้เขาเสียที ทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ เจ้าของร่างสูงเกินร้อยแปดสิบห้ากำลังบริภาษผู้จัดการส่วนตัวในใจ รู้ไหมว่าตอนนี้หากปล่อยให้เขาสะสางงานของ พีกรุ๊ป เขาจะสามารถทำงานที่กองท่วมหัวเหล่านั้นเสร็จไปตั้งเท่าไร แล้วจากการคำนวณแล้วรู้ไหมว่าแค่เขาเสียเวลาเซ็นเอกสารแกรกเดียว เงินที่จะเข้ามานั้นมันมากกว่าค่าตัวนายแบบต๊อกต๋อยนี่เสียอีก
ในขณะที่มิสเตอร์ฌอน ทินกฤต ศุภอนันต์ พาร์กเกอร์ กำลังบ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่นั้น คนที่บอกว่าจะออกมาเปิดประตูให้เขาเข้ามากลับยืนกอดอกมองดูชายหนุ่มอยู่ไม่ไกล ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเต็มไปด้วยแววขุ่นเคือง ริมฝีปากของหญิงสาวเม้มแน่น มองดูท่าทางหงุดหงิดโมโหของเขาแล้วสมองของเธอก็หมุนเร็วจี๋ด้วยกำลังคิดคำนวนไปต่างๆ นานาว่าจะรับมือกับเขายังไง
แล้วที่สำคัญไม่รู้ว่าเขาจะจำเธอได้หรือไม่
รุจรวีถอนหายใจยาวแล้วตัดสินใจเดินไปเปิดประตูให้อีกฝ่าย ด้วยเห็นว่าหากแกล้งให้เขายืนตากยุงหน้าบ้านนานกว่านี้ นายแบบโรคจิตอาจจะพ่วงด้วยคำว่าบ้าเข้าไปก็ได้ ดูจากท่าทางกระวนกระวายนั่นแล้วก็กลัวเขาจะพังประตูรั้วบ้านเธอในไม่ช้า
๐๐๐
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ประตูรั้วที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้จำพวกไม้เลื้อยเขียวชะอุ่มจนน่ากลัวว่าจะมีงูทำให้ฌอนรีบดึงแว่นกันแดดออกจากดวงตาโดยเร็ว ที่ใส่ไม่ใช่ว่าเขาบ้า แต่เพราะไม่อยากให้ใครจำได้ต่างหากว่าเขาคือใคร เพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เริ่มเมียงมองแล้ว ดวงตาฉายแววขุ่นมัวเพราะคนมาเปิดประตูช้าปล่อยให้เขายืนตากยุงรอ
“ทำไมถึงมาเปิดประตูช้านัก อยากตกงานรึไงไอ้หนู”
เขาพูดอย่างหงุดหงิด ร่างเล็กๆ ที่อยู่หลังประตูทำให้เข้าใจไปว่าเป็นเด็กผู้ชาย ซึ่งฌอนคิดไปเองว่าอาจจะเป็นคนใช้ในบ้านของรวีวิทย์ก็เป็นได้ ร่างสูงก้าวฉับๆ เข้ามาในเขตบ้านทันที เมื่อรั้วเปิดกว้างพอให้เขาแทรกร่างใหญ่โตเข้าไปได้ ทิ้งให้ ‘ไอ้หนู’ คนเปิดประตูเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาวาววับ
หมอนี่จำเธอไม่ได้!
รุจรวีเดินตามอีกฝ่ายเข้าบ้าน ในขณะที่ฌอนก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอพลางบ่นถึงความล่าช้า ไม่ได้สนใจหันมามองหญิงสาวเลย จนเมื่อใกล้ถึงประตูบ้านนั่นแหละชายหนุ่มจึงหันกลับมา แล้วพบว่าภายใต้หลอดไฟสว่างจ้า ไอ้หนูที่เดินตามหลังเขามาเป็นผู้หญิง!
“อ้าว...ผู้หญิงเหรอเราน่ะ”
ฌอนถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ด้วยคิดว่าเมื่อครู่เป็นเด็กชายเสียอีก แล้วยิ่งมาเห็นอีกฝ่ายชัดๆ ตาฌอนก็ถึงกับขมวดคิ้ว หญิงสาวร่างเล็กบอบบางที่น่าจะสูงไม่ถึงหัวไหล่เขาดีด้วยซ้ำกำลังมองเขาตาขุ่น หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวหลวมพิมพ์ลายการ์ตูน กางเกงขาสามส่วนสีขาว และผมยาวสลวยนั้นถูกรวบตลบขึ้นด้วยกิ๊บสีสันสดใสอันใหญ่ รูปร่างของเจ้าหล่อนก็...อานะ เล็กๆ แบนๆ ไม่ใช่สเปกของเขาสักนิด หากดวงหน้าเรียวหวานนั้นก็ดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราดี จมูกเล็กๆ หากโด่งเป็นสันสวยเชิดรั้น น่าแกล้งเข้าไปบีบเล่นเสียจริง ริมฝีปากสีชมพูอิ่มที่บัดนี้เม้มสนิทและดวงตาสีน้ำตาลใสหากวาววับราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาทำให้ฌอนสะดุดใจ
ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวทั้งตัว มือหนาคว้าหมับเข้าที่ไหล่บางของคนตัวเล็กกว่าเป็นคืบแล้วโน้มตัวจ้องอีกฝ่ายเขม็ง จ้องเอาๆ จนรุจรวีอยากจะเอานิ้วจิ้มตาวาวๆ นั่นให้บอดนัก!
หากยังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด มือหนาก็ผลักไหล่หญิงสาวออกเบาๆ นิ้วเรียวสวยสมเป็นนายแบบคนดังชี้หน้าเธอแล้วร้องออกมาด้วยน้ำเสียงกึ่งประหลาดใจกึ่งตกใจเมื่อความจำเริ่มซึบซาบเข้าสู่สมองว่าเคยเห็นใบหน้านี้จากที่ไหน หากภาพไม่ชัดของหนังสือกอสซิปทูเดย์ก็ลอยเข้าหัวทันที
“เธอมันยัยจอมแสบที่เอาขวดน้ำฟาดหน้าฉันนี่!?”
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มวาววับด้วยความโกรธเมื่อจดจำได้ว่านี่คือใคร
รุจรวีสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ หญิงสาวยืดกายตรงแม้ความสูงเพียงร้อยห้าสิบห้าจะไม่ทำให้เธอสูงไปกว่าไหล่เขาก็ตาม หญิงสาวมองเขาอย่างเหยียดหยามและขยะแขยง ความทรงจำที่มีต่อฌอนไม่ได้ทำให้เธอประทับใจในหน้าตารูปร่างราวกับเทพบุตรจุติจากสรวงสวรรค์ของอีกฝ่ายเลยสักกะผีก