7 หนูดูแลแม่ได้

1717 คำ
"หลังนี้หรอ" บาสขับรถหรูมาส่งลิลินถึงหน้าบ้าน ที่มีเพียงหลอดไฟดวงเล็กส่องสว่างอยู่หน้าประตู เธอยังคงกำชายเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยืมมาจากวายุไว้แน่น รู้สึกทั้งอายทั้งกังวลในเวลาเดียวกัน "ใช่ค่ะ" มิรินตอบก่อนจะยื่นมือไปเปิดประตูรถ “นี่ลิลิน อืมเอานี่ไปด้วย” บาสเอ่ยเรียบๆ ก่อนจะยื่นซองสีน้ำตาลหนาๆออกมาให้ หญิงสาวชะงัก หันมองซองนั้นแล้วส่ายหัวทันที “อะไรคะพี่บาสหนูไม่...” “ค่าตอบแทนที่อุตส่าห์ช่วยเฮีย” เขาพูดแทรกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ความรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามา “แต่ว่า…” “เอาไปเถอะ พี่รู้ดีว่าลิลินต้องใช้เงิน” บาสยัดซองเงินใส่มือเธอ พลางสบตาด้วยแววตาที่เหมือนจะเข้าใจทุกอย่าง ถึงเธอไม่บอกเขาเองก็พอจะรู้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากไปทำงานกลางคืนแบบนี้หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการที่จะหาเงิน หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆยื่นมือรับมา ก้มมองลงไปก็พบว่าเงินข้างในหนามากจนมือเธอสั่น “ทำไม…เยอะขนาดนี้คะ” “น้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับที่ลิลินช่วยเฮียไว้เมื่อคืน” ลิลินเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นระริก “แต่หนู...” “รับไว้เถอะ พี่ไปละเดี๋ยวต้องไปจัดการเรื่องเมื่อคืนต่อ เฮียตื่นมาน่าจะต้องเคลียร์กันยาว” หญิงสาวกำซองเงินแน่น ถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะพยักหน้า “ขอบคุณค่ะพี่บาส” "อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ เวลานั้นเฮียคงไม่ได้ป้องกัน ถ้าท้องมาแล้วจะลำบากพี่ไม่อยากต้องมารู้สึกผิดไปมากกว่านี้" "เอ่อค่ะ" รถหรูเคลื่อนออกไป ทิ้งไว้เพียงเสียงล้อบดกับพื้นถนนที่ค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ ลิลินยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านครู่หนึ่ง ความรู้สึกหนักอึ้งถาโถมเข้ามาเต็มอก เธอก้าวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบเชียบ กลัวว่าแม่จะตื่นขึ้นมาเห็น และยิ่งกว่านั้นกลัวว่าถ้าแม่ถาม ทำไมชุดที่เธอกลับมาไม่ใช่ชุดเดียวกับที่ใส่ออกไปทำงาน เธอคงไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ลิลินก้มมองเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวเองอีกครั้ง ใจเต้นแรงเหมือนกำลังซ่อนความผิดใหญ่หลวงเอาไว้ ริมฝีปากบางเมมเข้าหากันอย่างคิดหนัก ร่องกลางหว่างขายังคงเจ็บแสบเช่นเดิม พร้อมมีน้ำไหลเปียกแฉะเต็มไปหมด "ซี๊ด~อื้อ...เจ็บชะมัดเลย" เสียงพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะรีบก้าวขาเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสอง มืออีกข้างกำซองเงินไว้แน่น อย่างน้อยๆเดือนนี้เธอก็มีค่าบ้านและค่าใช้จ่ายพร้อมกับค่าเทอมแล้ว เช้าวันใหม่ ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ลิลิน ลูกตื่นได้แล้ว” เสียงของยุพินดังขึ้นพร้อมแรงเคาะประตูเบาๆ ผู้เป็นแม่ตื่นแต่เช้าแล้ว แต่ยังไม่เห็นหน้าลูกสาวเลยสักนิด รู้เพียงว่ารองเท้าถูกถอดวางอยู่ที่ชั้นรองเท้าเท่านั้น จึงสงสัยว่าเธอกลับเข้าบ้านมาตอนไหน “ซี๊ด~แสบจัง” เสียงครางแผ่วลอดออกมาจากริมฝีปากบาง ลิลินลืมตาตื่นขึ้นด้วยความมึนงง ร่างกายยังหนักอึ้งเพราะความเพลียที่สะสมมาตลอดทั้งคืน แต่สิ่งที่ทำให้เธอสะดุ้งคือเสียงของผู้เป็นแม่ และความเจ็บแสบที่กลางหว่างขาทุกครั้งที่ขยับตัว รับรู้ได้ถึงอาการบวมเป่ง เธอเม้มปากแน่น กดเสียงครางเอาไว้ไม่ให้หลุดรอดออกไปถึงแม่ หัวใจเต้นแรงด้วยทั้งความอายและความหวาดหวั่น “ค่ะแม่…” เธอตอบออกไปทั้งที่เสียงสั่นเครือ “สายมากแล้วนะลูก วันนี้มีเรียนบ่ายหรือไง ถึงได้ตื่นสายขนาดนี้” เสียงยุพินดังลอดเข้ามาพร้อมน้ำเสียงกึ่งบ่น ลิลินสะดุ้งรีบคว้ามือถือขึ้นมาดู ทั้งที่ดวงตายังพร่าเลือน ตัวเลขบนหน้าจอแจ้งเวลา 07:40 น. เธอกลืนน้ำลายฝืดลงคอ “เฮ้อ…ยังไม่แปดโมงเลยนี่คะ” เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง พยายามกลบเกลื่อนความกังวลที่ตีตื้นขึ้นมา "ตื่นได้แล้วมั้งลูกจะแปดโมงแล้วนะ" "ค่ะ..." ร่างเล็กค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นจากที่นอน ขาทั้งสองข้างสั่นระริก เจ็บแปลบแทบทรุดทุกครั้งที่ก้าวเดินไปข้างหน้า แต่เธอฝืนกัดฟันย่างก้าวไปยังห้องน้ำ ผิวเนื้อบอบบางยังระบมจากร่องรอยเมื่อคืน ภาพเหตุการณ์แวบซ้อนทับในความทรงจำ ยิ่งทำให้ใจเธอสั่นไม่หยุด มันคือความลับที่เธอไม่มีวันบอกแม่ได้เด็ดขาด มือเรียวเอื้อมเปิดประตูห้องน้ำ เสียงบานพับดังเอี๊ยดเหมือนเช่นทุกวัน แต่ภายในใจของคนตัวเล็กกัดแตกต่าง ลิลินเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จกลิ่นสบู่อ่อนๆยังติดตามผิวกาย เธอนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้อง มองเงาสะท้อนตัวเองด้วยแววตาสั่นไหว ภาพความทรงจำเมื่อคืนแล่นวาบเข้ามาไม่หยุด ตั้งแต่วินาทีที่เธอตัดสินใจช่วยวายุจากฤทธิ์ยา ไปจนถึงเรื่องราวบนเตียงที่ร้อนแรงจนเธอแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงจังหวะเร่าร้อนเหล่านั้น ความจริงที่ทำให้เธอหน้าแดงวูบวาบก็ผุดขึ้นมา เธอมั่นใจว่าแท้จริงแล้ว พ่อผู้ให้กำเนิดของเธอ คือคนที่อยู่เบื้องหลังการวางยาครั้งนี้ แต่ทำไมพ่อถึงต้องทำนั่นคือสิ่งที่เธอหาคำตอบไม่ได้ “ลิลินเสร็จแล้วลงมาทานข้าวได้แล้วลูก ทำไมวันนี้ช้าจังเลยเดี๋ยวก็สายกันพอดี นี่ขนาดแม่ปลุกตั้งแต่เช้านะเนี่ย” เสียงของยุพินดังลอดมาจากชั้นล่าง ดึงสติลิลินกลับมาอย่างแรง ภาพทั้งหมดค่อยๆเลือนหายไป หญิงสาวรีบเช็กความเรียบร้อยตัวเองอีกครั้ง ก่อนฝืนยิ้มแห้งๆก้าวลงบันไดมา “มาแล้วค่ะแม่” ยุพินหันมามองลูกสาวทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย “ทำไมวันนี้ดูไม่ค่อยสดชื่นเลยลูก แม่ว่าหนูควรพักบ้างนะ ทำงานกลางคืนทุกวัน เดี๋ยวเรียนไม่รู้เรื่องเอานะลูก” ลิลินรีบแก้ตัวสายตามองไปที่จานข้าว ไม่กล้าสบตาแม่ตรงๆ “หนูแค่ปวดหัวนิดหน่อยเองค่ะแม่ ไม่เกี่ยวกับทำงานซะหน่อย” “แต่แม่ว่าเกี่ยวนะลูก หนูไม่นอนติดกันหลายวัน มันก็ทำให้ปวดหัวได้อยู่แล้ว แม่ว่าพักบ้างเถอะ เดี๋ยวแม่จะลองหางานแถวนี้ทำ จะได้ช่วยๆกัน” คำพูดนั้นทำเอาลิลินชะงัก ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอส่ายหัวแรงๆก่อนตอบเสียงจริงจัง “ไม่นะคะแม่ แม่อยู่ที่บ้านนี่แหละ แม่ก็ไม่ค่อยสบายอยู่แล้ว ถ้าไปทำงานข้างนอกแบบนั้นอาการจะยิ่งแย่ลงไปใหญ่ หนูดูแลแม่ได้ค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าลิลิน แม้ภายในใจจะสั่นคลอน เต็มไปด้วยความลับและความเจ็บปวด แต่ต่อหน้าแม่เธอจะไม่มีวันยอมให้ความอ่อนแอถูกเห็นเด็ดขาด “แต่แม่ยังแข็งแรงดีอยู่นะลูก แม่เองก็อยากออกไปทำงานบ้างจะได้ไม่เบื่อ” ยุพินเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ แต่ลิลินกลับรีบส่ายหน้า ดวงตาเธอฉายแววเด็ดเดี่ยวขึ้นมาทันที “ไม่ได้นะคะแม่ คุณหมอสั่งไว้ว่าต้องพักผ่อนเยอะๆ เพราะฉะนั้นแม่ต้องทำตามที่คุณหมอสั่งเข้าใจไหมคะ ส่วนเรื่องหาเงินหนูจะเป็นคนจัดการเอง” เสียงของลิลินหนักแน่นจนคนเป็นแม่เงียบไปชั่วครู่ เธอรู้ตัวดีว่าไม่มีวันยอมให้แม่ต้องออกไปเหน็ดเหนื่อยอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะโลกภายนอกสำหรับแม่ ไม่ได้มีแค่ความเหนื่อยกายเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ คนที่เคยเป็นคุณหญิงผู้สูงศักดิ์ กลับถูกสามีทอดทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ เรื่องราวนั้นกลายเป็นซุบซิบนินทาที่ไม่มีวันจางหาย และเธอรู้ดีว่า หากแม่ต้องออกไปเผชิญสายตาของผู้คนอีกครั้ง คำพูดดูแคลนและความทรงจำเลวร้ายเหล่านั้น จะยิ่งตอกย้ำให้หัวใจของแม่แหลกสลายยิ่งกว่าเดิม และแน่นอนเธอจะไม่มีวันยอม รอยยิ้มที่ลิลินส่งให้แม่จึงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ในดวงตากลับแฝงด้วยความแข็งกร้าวและเจ็บปวด ที่ไม่ยอมหลุดออกมา เธอเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้เพียงลำพัง เพื่อปกป้องคนที่รักที่สุดเพียงคนเดียว “แต่แม่ก็ไม่อยากให้ลูกต้องเหนื่อยคนเดียวนิ” เสียงของยุพินแผ่วเบาเต็มไปด้วยความห่วงใย “หนูไม่เหนื่อยเลยค่ะแม่หนูทำได้ หนูดูแลแม่ได้ด้วย” ลิลินเอ่ยก่อนจะซบศีรษะลงบนไหล่ผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อน ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็จะไม่ยอมปล่อยให้แม่ลำบากอีก “จ้า...งั้นก็มากินข้าวได้แล้วลูก” น้ำเสียงอบอุ่นตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “ค่ะแม่” ลิลินฝืนยิ้มหวาน ก่อนจะนั่งลงตรงโต๊ะที่มีอาหารโปรดจัดเรียงอยู่เต็มไปหมด กลิ่นหอมกรุ่นลอยมาแตะจมูก แต่หัวใจเธอกลับหนักอึ้ง “จริงสิลูกกลับมาถึงกี่โมงกันแน่ แม่เผลอหลับไปตั้งแต่ห้าทุ่ม พอตื่นมาตอนเช้าก็เห็นรองเท้าลูกอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าลูกเข้าบ้านตอนไหน” “เอ่อ...หนูก็กลับมาตามปกติเลยค่ะแม่” คำตอบที่รีบกลบเกลื่อนหลุดออกมาอย่างไม่มั่นใจนัก ยุพินนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาอ่อนโยนจับจ้องลูกสาวอย่างสงสัย “งั้นหรอ…” “ค่ะแม่ ทานกันเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเรียนสาย” ลิลินรีบเปลี่ยนเรื่องทันที พร้อมฝืนรอยยิ้มให้ดูสดใสที่สุดเท่าที่ทำได้ ทั้งที่ในใจยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และความลับที่ไม่อาจให้แม่รู้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม