POV ปัณณ์
เช้าวันจันทร์ที่ร้านข้าวแกงแม่งามพริ้งวันนี้ดูเงียบแปลก ๆ มันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างจนผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ไอ้ปัณณ์ทำหน้าส้นตีนแบบนั้น ข้าวแกงไม่อร่อยหรือไง ก็เมนูเดิมที่ชอบ” ไอ้รินไอ้นี่จับสังเกตเก่ง ผมเคี้ยวไปแบบไม่ตอบ แต่ในหัวมันขุ่น ๆ มัว ๆ แปลก ๆ แต่มันยังเซ้าซี้
“ลืมเอาปากมา?”
“เสือกจริงนะมึง”
“ไอ้นี่กวนส้นตีน...แล้วยังไงเมื่อคืนกับดาวปีสี่วิทยา ส่งสายตาหวานเยิ้มเชียวนะมึง กูเห็น”
“หวานเหี้ยอะไร”
มันก็ไม่ใช่อย่างที่เห็นแต่ผมไม่อยากอธิบายเบื่อเพราะแม่งนี่ไม่ค่อยเชื่อ ผมขี้เกียจจะเถียง
“หรือไม่ใช่ เมื่อคืนมึงอย่ามาพูด ถ้ามีช่องกูก็ว่ามึงน่าจะชวนมาคอนโดด้วยซ้ำ” ซ้ำอะไรอีกก็บอกไม่กินซ้ำแค่ทักทายในฐานะคนรู้จัก
“กับน้องพริกแกงนี่ยังไง มึงไม่เอาแน่ใช่ปะ”
“กูบอกแล้วแค่น้อง”
แค่น้องเหรอวะปัณณ์…แล้วทำไมตอนริมฝีปากเฉียดกันถึงใจสั่นวะ
ภาพนั้นมันวนอยู่ในหัวผมทั้งคืน คิ้วผมขมวดเองโดยไม่รู้ตัว
“พูดมากแดกไปเหอะมึง” ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ว่าไอ้รินมันหยุดที่ไหน
“กูเห็นนะว่ามึงพาน้องไปนอนที่ห้องด้วย ยังไงถ้าไม่คิดอะไรก็อย่าให้ความหวังไอ้สัด กูเคยเป็นมาก่อนมันเจ็บแค่ไหนรู้ดี”
เฮ้อ...!
ไอ้เหี้ยรินก็เอาแต่พูดเรื่องแบบนี้ทุกที ต่อให้ผมจะเหี้ยแค่ไหน แต่ผมก็ว่าผมชัดเจนอยู่นะ
“น้องเขากลัวผีก็แค่ให้มานอนที่โซฟา”
“ให้มันจริง”
“กูบอกแล้วไง แค่น้อง”
ใช่ผมว่าผมไม่ได้คิดอะไรนะกับพริกแกง จนกระทั่ง...ริมฝีปากเฉียดกันตอนนั้น...ทำให้ผมทบทวนดูอีกที แต่ว่าคิ้วมันดันขมวดเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่เอง จนเพื่อนผมและพี่ชายฝาแฝดสังเกตเห็น
“ให้มันแค่น้อง...น้องพริกเขาน่ารักขนาดนั้น ถ้ามึงทำให้เขาร้องไห้กูจะกระทืบให้”
ปุณณ์พูดนิ่ง ๆ ผมจึงสวนกลับ “เอาตัวเองให้รอดก่อนมึงอะ”
รู้อยู่หรอกว่าตัวเองก็มีเผลอใจนิด ๆ แต่คิดว่าไม่ใช่หรอก ผมไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้ชอบกินเด็ก หากจะจริงจังต้องอายุมากกว่าหรือว่าเท่ากันเพราะผมชอบอ้อนมากกว่าถูกอ้อน ดังนั้นไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เด็ดขาด
ถึงไม่มั่นใจอยู่นิด ๆ ก็เถอะ
“ปากแข็งไอ้สัด กูจะจำคำมึงไว้ มึงบอกเองนะไม่กินน้องอะ”
“เออ!”
ผมก็เลยต้องรับคำไปแบบนั้น แล้วก็จัดการอาหารในจานที่เคยอร่อยแต่วันนี้รู้สึกว่ามันกร่อยไปหน่อยนะ ไม่รู้ว่าน้ำปลาพริกที่ไม่แซ่บเหมือนเดิม หรือพริกแกงที่รสชาติเปลี่ยนไปกันแน่
แต่ที่แน่ ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร
หลังจากเรียนเสร็จเป็นเวลาสี่โมงเย็นพอดี ผมหยิบมือถือขึ้นจากนั้นดูอัปเดตข่าวสารของเด็กในมหาวิทยาลัยของเราระหว่างที่รอไอ้รินออกจากห้องเรียน พวกเรารอที่ใต้ตึกบริหารเพราะมีร้านกาแฟที่อร่อยที่สุดในมหาวิทยาลัย
แต่อย่าเรียกว่าอร่อยที่สุด...เรียกว่าอร่อยสุดได้แค่นี้จะดีกว่า และผมคือสิ่งมีชีวิตที่เลือกไม่ได้ดังนั้นต้องกินไปพลาง ๆ ระหว่างรอเพื่อนตัวแสบของพวกเราเรียน
“เฮ้ย...น้องพริกนี่หว่า” ไอ้ปั้นที่ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนอีกหลังจากคบกับเพื่อนผม เสือกสังเกตเห็นว่าน้องพริกเดินมา
ผมเงยหน้า…เห็นเธอเดินมา หัวใจมันกระตุกเต้นแรงโดยหาเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน
แต่เธอเดินผ่านไป…เหมือนไม่เห็นผม
…ทำไมวะพริก
ไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นเลยนี่นา
ความหงุดหงิดแล่นขึ้นมา ทั้งที่ไม่ควรสนใจด้วยซ้ำ แต่ผมเฝ้ารอดูว่าเธอจะหันกลับมามั้ย ‘ไม่’ เธอเดินออกไปไม่เหลียวแลผมอีก
“ไอ้ปั้นทำไมมึงไม่ทักน้อง” ผมรู้สึกหงุดหงิดนิด ๆ ที่ปกติไอ้พวกนี้ที่สาระแนทุกเรื่อง แต่วันนี้เสือกทำตัวมีมารยาทขึ้นมาซะงั้น
“ก็น้องไม่ได้ทักกู จะทักทำไม เหมือนน้องไม่เห็นมั้ง” ไอ้ปั้นเป็นไม่สนใจแล้วก็จิบกาแฟสลับกับไถฟีดติ๊กต็อกต่อไป ทิ้งให้ผมกระวนกระวายใจ
“ปกติสนิทกับเมียมึงไม่ใช่”
“สนิทกับเมียกูแต่ไม่ใช่ไอ้รินยูโน้ววว...มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าไอ้ปัณณ์”
ไอ้นี่กวนส้นตีนอีก แต่เมื่อหันกลับไปมองพี่ชายที่ทำหน้ากวนส้นตีนกว่าทำให้ผมเงียบปาก
“อยากทักก็ทัก...น้องพริกแกง แค่นี้เรียกยากเหรอ”
“ใครอยากทัก...”
“มึงไง”
“เรียกพริกแกงไม่ถนัด เรียกที่รักได้ไหมจ๊ะ” ไอ้ปั้นเลียนแบบมุกฝืด ๆ ของน้องมันทำให้ผมละเหี่ยใจ
“ตามึงไม่ค่อยดีแล้ว กูนี่ไม่เคยอยากทักน้อง แค่เห็นพวกมึงเมินน้องผิดปกติเฉย ๆ”
“พวกกูอะเรียกปกติ...แต่คนที่ไม่ปกติคือมึงค่า!”
ไอ้ปั้นเงยหน้าขึ้นมาพูด นั่นทำให้ผมหงุดหงิดเพิ่มขึ้นแต่สายตาก็ยังมองผ่านกระจกที่เป็นเงาสะท้อน และมองว่าอีกคนจะมองกลับมาตอนไหน แต่น้องก็ไม่มองแถมเดินออกไปเลย
“ทำไม...ไอ้น้ำหยดลงหินแค่สามวันเนี่ยกร่อนแล้ว?” ไอ้ปุณณ์เลิกคิ้วถาม
“เร็วก็เหี้ยแล้วไม่ใช่หิน” ผมกัดฟันลุกจากโต๊ะทันที ใครว่ากูชอบวะ…กูไม่ชอบเด็กที่จีบก่อนโว้ย
แต่หัวใจแม่งเต้นแรงจนปฏิเสธตัวเองไม่ได้…
“น้ำหยดลงหิน...หินกำลังร้าวแล้ววะ” แล้วเสียงไอ้สองตัวตะโกนตามผมและหัวเราะได้เหี้ยมากทำให้ผมต้องรีบออกจากร้านกาแฟไป เพราะเบื่อความเพ้อเจ้อของพวกมัน
ผมปกติสุด ๆ ใครว่าไม่ปกติ!