อันดา Talk
แล้วก็เป็นกิจวัตรประจำวันที่หญิงสาวตื่นตั้งแต่เช้า แล้วเธอก็ตั้งใจว่าจะเก็บกวาดทำความสะอาดห้องให้เขา เพราะไม่อยากอยู่แบบนิ่งดูดาย แล้วเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องคิดอะไรมาก
แต่เมื่อออกจากห้องนอนมาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นมีอุปกรณ์ทำความสะอาดวางไว้อยู่กลางห้องโถง แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นแม่บ้านสองคน กำลังทำความสะอาดอยู่ในห้องครัว
ด้านแม่บ้านทั้งสอง เมื่อเห็นเธอก็รู้สึกตกใจไม่ต่างกัน ผู้หญิงคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เพราะพวกเขาก็ต่างรู้ดี ว่าคุณหมอหนุ่มหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวมากแค่ไหน คนที่จะได้มาที่นี่ ก็มีแต่กลุ่มเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่ก็น้องชายลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคน ไม่เคยมีคนอื่น หรือแม้แต่ผู้หญิงคนไหนได้มาที่นี่
“สวัสดีค่ะ” ป้านวลแม่บ้านก็ทักทาย ด้วยสีหน้าที่หงุนงง
“เอ่อ... สวัสดีค่ะ หนูชื่ออันดานะคะ” หญิงสาวก็ทักทายตอบด้วยท่าทางที่ใส่ซื่อ ดูจากสีหน้าแปลกใจของแม่บ้านทั้งสอง ก็รู้สึกประหม่าและทำตัวไม่ถูก
“หมอกันต์นี่นะป้า จะพาใครมาที่นี่” แย้มแม่บ้านอีกคน ก็กระซิบถามเสียงเบา
“ค่ะ ป้าชื่อนวล ส่วนนี่ชื่อแย้ม เป็นแม่บ้านที่ต้องมาทำความสะอาดที่นี่ ทุก 3 วันค่ะ”
“อ่อค่ะ มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเป็นแขกตามสบายเถอะ เดี๋ยวทำเสร็จพวกเราก็จะออกไปแล้ว”
“ให้หนูช่วยอะไรก็บอกได้เลยนะคะ ความจริงหนูก็ไม่ใช่แขกหรอก เอ่อ...”
“คะ?” แล้วแม่บ้านทั้งสองก็จ้องใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นอย่างสนใจ
“เอ่อ...ค่ะ หนูเป็นแขก” เมื่อนึกอะไรได้ เธอก็ต้องรีบปัดไปในสิ่งที่จะบอกก่อนหน้า เพราะตอนนี้ก็ไม่ได้ไว้ใจใคร และการอยู่ที่นี่ก็ปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอแล้ว
“ค่ะ ถ้ายังงั้นพวกเราสองคนไปทำความสะอาดต่อก่อนนะคะ มีอะไรก็เรียกใช้ได้เลยนะ”
“ค่ะ”
แล้วแม่บ้านสองคนก็แยกย้ายกันไปทำความสะอาด อันดาได้แต่มองตาม ความจริงเธอก็อยากช่วยมาก แต่ก็ไม่อยากทำอะไร ที่ผิดแปลกไป คิดได้แบบนั้นก็รีบเข้าห้องตัวเองไป เพราะก็ยังไม่อยากคุยกับใครมากในตอนนี้
หมอกันต์ Talk
ด้านหมอหนุ่ม ตอนนี้ก็ผ่านไปกว่าสองวันแล้ว เขายังเอาแต่เปิดดูกล้องวงจรปิดในโทรศัพท์ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงอยากดูเธอขนาดนี้ ไม่ว่าเธอจะเดินไปไหนทำอะไร ก็อยู่ในความสนใจของเขาหมด
“ดูอะไรขนาดนั้นว่ะเฮีย นี่มึงดูทั้งวันแล้วนะ” นนท์ที่เห็นแบบนั้น ก็ต้องแปลกใจ เพราะปกติแล้วไอ้พี่ชายตัวดีเขาก็ไม่เป็นแบบนี้
“ยุ่ง”
“หึ กูว่าติดเด็กจริงแน่ ๆ อาการนี้มันใช่”
“เด็กบ้าเด็กบออะไร ชีวิตกูมีแต่แต่งงานมึงก็รู้”
“หึ ขนาดลูกน้องกูบอกว่า หาเด็กไปให้ถึงห้องขนาดนั้น แม่งเอารอบเดียวแล้วปล่อยกลับเลยเหรอวะ”
“ก็... กูไม่มีอารมณ์”
“เหอะ จะบ้า มึงเนี่ยนะเฮียไม่มีอารมณ์ อมพระวัดไหนมาพูดกูก็ไม่เชื่อ มันมีอะไรนักหนาวะที่เมืองไทย”
“ไม่มี เมืองไทยกับที่นี่ก็ไม่ต่างกันหรอก ถ้างั้นมึงก็คงกลับไปแล้ว” หมอหนุ่มก็พยายามพูดอย่างกลบเกลื่อน เปลี่ยนเรื่องอื่นไปเรื่อย
“หึ ถ้ามีอะไรน่าสนใจก็น่ากลับอยู่ แต่ตอนนี้มันไม่มีนี่สิเฮีย”
“มึงก็กลับบ้าง แม่งอยู่นี่มาหลายปีแล้ว กูก็ไม่เห็นมึงจะมีเมียสักที ไม่แน่กลับไปเมืองไทยรอบนี้มึงอาจจะเจอเนื้อคู่ก็ได้”
“หึ ไม่เอาอ่ะ กูไม่เชื่อมั่นในเรื่องความรัก” เพราะพ่อเขาจะสอนเสมอ ว่าคนมีความรักคือคนอ่อนแอ ถ้าวันไหนมีความรัก วันนั้นจะไม่เป็นตัวของตัวเอง อย่างไอ้นายน์ น้องชายเขาที่เอาแต่คิดถึงฟ้าใส จนแทบจะบ้าเหมือนทุกวันนี้ เขาจะไม่เป็นแบบนั้นเด็ดขาด
“เออ อย่าให้กูเห็นแล้วกัน ว่าถ้ามึงรักใครแล้วตามต่อย ๆ เหมือนหมา กูจะหัวเราะเสียงดัง ๆ ให้”
“ไม่มีวันนั้นหรอกเฮีย” นนท์พูดอย่างคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง เกิดมา 28 ปีแล้ว อย่าว่าแต่ความรักให้ใครเลย ขนาดชอบยังไม่เคยรู้สึก
1 สัปดาห์ต่อมา
แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่เสร็จงานที่นี่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี หมอหนุ่มก็รีบกลับในวันนั้นทันที เพราะใจเขามันเอาแต่ฟุ้งซ่านอยู่หลายวัน ทำไมคิดถึงคนที่อยู่ที่เพนท์เฮาส์ก็ไม่รู้ ทั้งที่ปกติก็ไม่ได้อยู่กับเธออยู่แล้ว แต่พอรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น เขากลับเอาแต่โหยหาอยากกลับไป
“หึ เกินไปไหมเฮีย จะรีบอะไรขนาดนั้น”
“เรื่องของกู แล้วนี่มึง...” เมื่อเห็นกระเป๋าหลายใบของน้องชาย ก็อดแปลกใจไม่ได้ คนที่ไม่กลับเมืองไทยไปหลายปี วันนี้กลับจะกลับไป
“เออ เบื่อนิดหน่อย กลับไปหาอะไรสนุก ๆ ทำที่เมืองไทยดีกว่า”
“หึ กูขอให้มีเมียเป็นตัวเป็นตน แล้วเมียมึงก็เอามึงอยู่ จนมึงสยบแทบเท้าเธอ”
“ไร้สาระว่ะเฮีย” เพราะเรื่องนั้นไม่เคยอยู่ในหัวเขา
และเมื่อเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเตรียมพร้อมแล้ว ทั้งคู่ก็กลับเมืองไทยด้วยกันในทันที
ณ ประเทศไทย
“มึงยังจำทางกลับบ้านมึงได้ใช่ไหม” กันต์ก็ถามไอ้น้องชายตัวดีอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่ามันเป็นมาเฟียที่ก่ากั๋นขนาดไหน ศัตรูก็มีอยู่รอบทิศ ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่อันตราย ถึงแม้จะคุยกันไม่ค่อยดี แต่ก็รักและเป็นห่วงมาก
“ชิลล์ รีบไปเถอะ เด็กคงรอแย่แล้วมั้ง” ด้วยที่เห็นท่าทางร้อนรน กับการอยู่ไม่ค่อยสุขของพี่ชายตั้งแต่บนเครื่อง ชินกรก็อดแซวไม่ได้
“เออ งั้นกูกลับละ” พูดจบหมอหนุ่มก็รีบกลับก่อนในทันที เขารู้สึกไม่อยากช้าไปกว่านี้อีกแล้ว ถึงแม้จะเห็นเธอตลอดเวลาที่เดินออกมาจากห้อง แต่เขาก็อยากเจอเธอตัวเป็น ๆ มากกว่า ก็ไม่รู้จะเบื่อ หรือไม่อยากอยู่แล้วหรือเปล่า
ณ เพนท์เฮาส์
ติ่ด
เมื่อแตะคีย์การ์ดเข้ามาภายในห้อง เขาก็รู้สึกสดชื่นโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นก็รีบเอาของทุกอย่างเข้าไปเก็บในห้อง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
และไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ซึ่งคงเป็นเธอที่มาเคาะห้องเขา เพราะเขาก็ได้บอกกำหนดการไว้แล้ว ว่าจะกลับมาวันนี้
เมื่อเปิดประตูออกไปแล้วเห็นหน้าเธอ ใจเขาก็เต้นแรงขึ้น แต่ก็พยายามถามเสียงปกติที่สุด
“เอ่อ... หนูได้ยินเสียงคุณกลับมา ก็เลยจะมาถามว่าคุณกินอะไรมาหรือยังคะ ถ้ายังหนูจะได้ทำให้” ด้วยที่ตอนนี้เป็นเวลา 2 ทุ่ม เธอก็กลัวว่าเขาจะหิว
“อืม อะไรก็ได้ที่ง่าย ๆ”
“ค่ะ เดี๋ยวหนูไปทำสเต็กให้นะคะ”
“อือ”
เมื่อเขาพูดจบอันดาก็รีบเดินออกไปทันที แล้วก็รีบไปเตรียมอาหารไว้ให้เขา ความจริงก็รอเขามาทั้งสัปดาห์แล้ว เธอตั้งใจรออย่างใจจดใจจ่อ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงอยากเจอเขาขนาดนี้ เมื่อเขากลับมาแบบนี้ เธอก็รีบเข้ามาถามไถ่ เพื่อจะได้คุยอะไรกับเขาบ้าง
สเต็กจานใหญ่ถูกจัดเรียงไว้ที่โต๊ะอย่างสวยงาม รวมถึงผลไม้ที่ปอกไว้พร้อมทาน เธอตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อเตรียมไว้ให้เขา พร้อมกับรอยยิ้มสวยที่ผุดขึ้นบนใบหน้า
ด้านหมอหนุ่ม เขาก็รอเวลาซักพัก เพื่อลดความตื่นเต้นที่อยู่ในใจ เขาพยายามทำนั่นทำนี่อย่างชักช้า ก่อนจะเดินออกไปอย่างคนที่ไม่คิดอะไร
“หนูเตรียมสเต็กกับผลไม้ไว้ให้แล้วนะคะ”
“แล้วเธอจะไปไหน”
“เอ่อ เข้าห้องค่ะ ถ้าคุณกินเสร็จแล้ว เดี๋ยวหนูออกมาเก็บนะคะ” พูดจบเธอก็กำลังจะเดินเข้าห้องไป แต่มือหนาก็คว้ามือบางก่อน จนเธอเซกลับไปหาเขา และเป็นว่าทั้งคู่หันมาจ้องตากัน ดวงตาคมกริบมองที่ใบหน้าสวย ทุกสัดส่วนของใบหน้าเธอ มันทำให้เขาพึงพอใจมาก ‘เด็กอะไรน่ารักชะมัดเลย’
อันดาเองก็หลงใหลได้ปลื้ม ใบหน้าที่หล่อคมคายราวกับเทพบุตร ทุกสัดส่วนดูมีมิติและดูดีไปหมด ทำให้รู้สึกว่าเขาสามารถสะกดจิตเธอได้ตลอดเวลา
“อื้ม” เป็นเขาที่ตั้งสติได้ก่อน
“เอ่อ... คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เธอกินหรือยัง มานั่งกินด้วยกันสิ”
“หนูกินแล้วค่ะ อันนี้หนูตั้งใจทำให้คุณ”
“อือ แต่ฉันไม่อยากนั่งกินคนเดียว เธอก็มานั่งด้วยกันสิ”
“เอ่อ...”
“จะได้คุยกันด้วย” เขาพูดเสียงเรียบ