“เสร็จแล้วค่ะ”
ช่างแต่งหน้าสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ซึ่งทำให้คนฟังสัมผัสได้ว่าเจ้าหล่อนกำลังพึงพอใจกับผลงานของตนเองมากเพียงใด มาริสาจึงลืมตาขึ้น เงยหน้ามองช่างแต่งหน้าก็เห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังส่งยิ้มกว้างให้เธอแล้วพยักพเยิดให้เธอลุกขึ้นยืนพลางผายมือไปยังกระจกบานใหญ่ที่สามารถเห็นได้ทั้งตัวเพื่อให้เธอไปยืนอยู่หน้ากระจกนั้น
มาริสาเห็นตัวเองเต็มตาแล้วก็อยากจะยกมือทาบอก เธอรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่ได้ขี้เหร่ แต่ไม่คิดว่าเธอจะสวยได้ถึงขนาดนี้ ชุดสีแดงจากแบรนด์ชั้นนำแนบไปกับลำตัวของเธอ ทรวงอกอวบอิ่มที่ถูกใครบางคนตราหน้าว่ากระดานถูกดันขึ้นให้เห็นเนินอกรำไรภายใต้คอวีเว้าลึก เรียวขาของเธอเห็นได้วับแวมในจังหวะที่ขยับตัวหรือก้าวเดิน ผมยาวสีน้ำตาลเข้มของเธอถูกดัดเป็นลอนปลายยาวเคลียไหล่และบางส่วนละแผ่นหลังเปลือย ใบหน้าเรียวอย่างสาวเอเชียของเธอถูกตบแต่งเข้มจัด โดยเฉพาะดวงตาเรียวยาวของเธอที่ถูกเน้นจนโดดเด่นเป็นพิเศษ
ผู้หญิงในกระจกดูเซ็กซี่และเย้ายวน เพราะนี่คือการเปิดเผยเนื้อตัวและหุ่นของเธอมากที่สุดแล้วนับตั้งแต่มาริสาเกิดมา ถ้าไม่นับว่าเธอใส่ชุดว่ายน้ำน่ะนะ เธอกะพริบตา มองกระจกเหมือนไม่อยากจะเชื่อจริงๆ
“บอกฉันทีสิคะว่านี่ไม่ใช่ฉันใช่ไหมคะ?”
เธอถามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ช่างแต่งหน้าและสไตล์ลิสต์กับลูกมืออีกสองคนที่มาช่วยเธอแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานคืนนี้พากันยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวชมเธอว่า
“เป็นคุณจริงๆ ค่ะมิสฟอสเตอร์ ฉันแปลกใจจริงๆ ที่คุณยังไม่โดนโมเดลลิ่งที่ไหนชักชวนให้ไปเข้าสังกัด” หนึ่งในนั้นกล่าวอย่างชื่นชม เพราะหญิงสาวที่ดูเรียบๆ ใสๆ ในครั้งแรก ทว่าพอผ่านการแปลงโฉมแล้วกลับโดดเด่นราวกับเป็นคนละคน และคนตรงหน้ามีประกายบางอย่างที่ดึงดูดผู้คนเสียด้วย ในฐานะที่ทำงานคลุกคลีกับคนในวงการบันเทิงเธอคิดว่าเธอมองไม่ผิดหรอก ผู้หญิงคนนี้น่าจะได้อยู่ไปท่ามกลางแสงไฟที่โดดเด่นนั่น
“ไม่หรอกค่ะ” มาริสาปฏิเสธ เธอไม่ต้องการทำงานเป็นนางแบบหรือต้องการมีชื่อเสียงอะไร ถึงจะยอมรับว่ารายได้ตรงนั้นเยอะกว่า ทว่าเธอพอใจกับชีวิตของตัวเองแล้ว และถึงจะยอมรับว่าเธอแต่งแบบนี้แล้ว
ดูดีขึ้น ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบ คิดว่าเผลอๆ นี่คงเป็นงานเดียวที่เธอจะลงทุนถึงขนาดนี้ แม้ในความเป็นจริงเธอจะไม่ได้ควักเงินจ่ายแม้แต่เซนต์เดียวก็ตามที
“คุณน่าจะลองพิจารณาดูนะคะ” สไตล์ลิสสาวยังคะยั้นคะยอไม่เลิก มาริสาเลยได้แต่หัวเราะ ก่อนจะขอตัวเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เธอจะต้องลงไปในงานนั้นแล้ว
หญิงสาวคว้ากระเป๋าครัชต์แบรนด์หรูสำหรับงานกลางคืนนั้นมา ก่อนจะก้าวลงไปยังชั้นที่ใช้สำหรับจัดการเลี้ยงในค่ำคืนนี้
เอาละ...โปรเจกต์นิวฟลินน์ขั้นที่สองเดินหน้าได้!
------------
ฟลินน์จิบแชมเปญแก้วที่สามระหว่างรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ ของเขาที่เจอกันตั้งแต่หน้างานแล้วพากันเข้ามาภายในห้องบอลลูมหรูหรา แชนเดอร์เลียคริสตัลห้อยระย้าจากฝ้าเพดานเป็นประกายระยับ เขากวาดตามองเหล่าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่เริ่มทะยอยเข้ามาภายในงานนี้เรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกอยากจะออกไปจากงานนี้ให้เร็วๆ ชุดทักซิโด้ที่แนบชนิดไปกับร่างกายของเขาราวกับผิวเนื้อชั้นที่สองทำให้ฟลินน์เริ่มรู้สึกอึดอัด เขาไม่เคยชินกับการใส่เสื้อผ้านักหรอก เขาเคยชินกับการแก้ผ้ามากกว่า
“น่าเบื่อฉิบ”
หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของเขาที่สนทนากันเรื่องโน้นเรื่องนี้เอ่ยขึ้น ดูเหมือนพวกนี้จะเพิ่งจบบทสนทนาอย่างการที่มีใครบางคนอยากจะซื้อเครื่องบินเจ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด แต่มันเพิ่งซื้อไปเมื่อสองปีก่อนทว่าก็อยากได้เพิ่มขึ้นอีกลำ เลยไม่รู้จะขายลำเดิมทิ้งดีหรือเก็บไว้ทั้งคู่
“เอาน่า...” ใครคนหนึ่งปลอบใจขึ้นมา “เดี๋ยวก็จะใกล้เวลาแล้ว แกก็ทนอีกนิดเดียวแล้วกัน”
ฟลินน์เหลือบตามอง แล้วจึงได้เห็นว่าเป็นฝาแฝดคนพี่...ทริสตัน แมคไกวร์กำลังยกมือขึ้นตบไหล่ปลอบใจพ่อหนุ่มจอมเงียบขรึมอย่าง
เคนเดล
“ผมไม่น่าตอบรับแต่แรกเลย”
เคนเดลเอ่ยหน้าตาเฉย ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดขึ้นมาไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวกำลังเบื่องานนี้มากแค่ไหน
“เคน…ไม่เอาน่า” เอลเลียตพูดขึ้นเป็นรายต่อมา สองคนนี้สนิทสนมกันมากกว่าใครเพราะรู้จักกันมาก่อนใครในกลุ่มรองจากตัวฝาแฝดแมคไกวร์เอง “นายตอนแรกเป็นคนชวนให้ฉันตอบรับเสียด้วยซ้ำ ทำไมจู่ๆ อยากจะมาทิ้งกันกลางคันแบบนี้ล่ะ”
“แต่ถึงอยากทิ้งนายก็ทิ้งไม่ได้หรอกเพื่อน มาสนุกกันดีกว่า”
ดรัสตัน...แฝดคนน้องเอ่ยขึ้นปลอบใจคนขี้เบื่อ
เคนเดลเหยียดยิ้มมุมปาก ท่าทางเงียบขรึมยังมีเหมือนเดิม ทว่าเจ้าตัวก็ดูได้ว่าจะเบื่อน้อยลง
ตลอดระยะเวลาที่ต้องผลัดกันปลอบใจกันด้วยความเบื่อนั้น ฟลินน์ได้แต่ยืนจิบแชมเปญแล้วยืนฟังเงียบๆ ไม่ได้ลงความเห็นหรือปลอบใคร เพราะเขาก็กำลังปลอบใจตัวเองอยู่
“ถามจริงๆ พวกคุณเข้าร่วมงานนี้เพื่ออะไร” เคนเดลเอ่ยขึ้น ก่อนจะจ้องมาทางฟลินน์แล้วพูดต่อว่า “คุณก่อนเลยฟลินน์”
ฟลินน์เลิกคิ้วขึ้นสูง เหยียดยิ้ม “ฉันเหรอ...ตาแก่พวกนั้นบังคับ
น่ะ” เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนสนิทว่าตาแก่ของฟลินน์คือคนสนิทของบิดาเขาทั้งห้าคน ซึ่งเป็นผู้บริหารของออลซีซั่นและเป็นผู้จัดการมรดกของ
ฟลินน์ “พวกนายล่ะ” เขาชี้มือไปที่สองฝาแฝดพลางย้อนถามกลับบ้าง
“โดนบังคับมา ใช่ไหมพี่ชาย” ดรัสตันคลี่ยิ้มตอบแล้วหันไปทางพี่ชายฝาแฝดของตนเอง ซึ่งพยักหน้ารับ
“ใช่ ฉันกับดรัสตันโดนบังคับมา แม่บอกว่าเราควรจะทำสิ่งดีๆ ให้สังคมบ้าง ท่านเลยตอบรับโดยไม่ฟังคำคัดค้านของเรา”
ทริสตันตอบแล้วยักไหล่ เป็นที่รู้กันว่าสองหนุ่มฝาแฝดขึ้นชื่อว่าร้ายกาจไม่แพ้ฟลินน์ ทว่าสองคนนี้ดีกว่าตรงที่กระทำสิ่งชั่วร้ายไปอย่างเงียบเชียบและระมัดระวังเพราะมีคนที่บ้านคอยปรามเอาไว้อยู่
“นายล่ะเอล” หนึ่งในฝาแฝดหันไปทางคุณหมอหนุ่ม
“ก็ตอบรับเป็นเพื่อนเคน แถมยังน่าสนุกออก แล้วก็ได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย”
ดวงตาสีน้ำเงินของเอลเลียตเป็นประกายคล้ายจะยิ้ม ดวงหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับบนริมฝีปากของเจ้าตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว
คำตอบของเขาช่างน่าสรรเสริญและยกย่อง...ถ้าไม่ใช่ว่าคนฟังต่างรู้จักกันมากเกินไป หนึ่งในสองฝาแฝดเบ้หน้า แล้วเป็นทริสตันที่เอ่ยแดกดันพ่อเทพบุตรออกมาว่า
“ตอบสมกับเป็นคุณหมอจิตใจดี แต่แกตอแหล ฉันรู้ทัน”
เอลเลียตหัวเราะกับคำแดกดันนั้น ไม่คิดแก้ตัวเพราะเขาโกหกจริงอย่างที่โดนว่า แล้วหันไปหาเจ้าของคำถามเริ่มต้น พร้อมกับถามกลับว่า “แล้วนายล่ะเคน”
เคนเดล คิงสตันเพิ่งผุดรอยยิ้มเหยียดบนริมฝีปากบางเฉียบของเขา ทำให้ใบหน้าเรียบเฉยตลอดเวลาของเขาดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะตอบว่า
“สร้างภาพ”
คำตอบสั้นๆ ของเคนเดล คิงสตันทำให้ทุกคนหลุดหัวเราะอย่างครื้นเครง เพราะต่างก็รู้กันดีว่าพวกตนไม่ใช่คนใจบุญอะไรเลยที่ยอมตอบรับ
มาร่วมงานนี้
ทุกคนมีผลโยชน์อยู่ทั้งนั้น...ถึงได้ยอมปรากฏตัวที่นี่
งานการกุศลพวกนี้...ก็แค่งานที่จะช่วยเอื้อให้ธุรกิจของพวกเขาสำเร็จไปอีกขั้นก็เท่านั้น
โลกนี้ไม่ได้ใจดีที่จะมอบอะไรให้ใครสักคนฟรีๆ ไม่งั้นจะมีคำพูดว่า ‘ของฟรีไม่มีในโลก’ หรอกหรือ
“แล้วถ้าเกิดมียายพวกที่เคยถูกเราทิ้งไป” หนึ่งในสองฝาแฝดสุดแสบเอ่ยขึ้น “ประมูลเราไปเพื่อแก้แค้นจะทำยังไงดีวะ”
คำตอบนั้นทำให้แต่ละคนเริ่มขมวดคิ้ว เพราะต่างก็มีคดีกับสาวๆ มาไม่น้อย ทว่าฟลินน์ได้ยินกลับหัวเราะ แล้วตอบอย่างสบายใจว่า
“ฉันคิดว่าคงจะไม่มีวันนั้น”
“ทำไม?”
ทั้งสี่ประสานเสียขึ้นมาพร้อมกัน ฟลินน์เลิกคิ้ว เหยียดยิ้มกว้างก่อนจะตอบว่า
“ก็ฉันสั่งให้ทักเกอร์เตรียมคนไว้ให้แล้วน่ะ”
คำตอบของเขาส่งผลให้สองฝาแฝดต่างสบถออกมาอย่างเจ็บใจที่ไม่ได้เตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน
“ทำไมฉันคิดไม่ทันวะ!”
“ฉันจะใครก็ได้ ขอแค่อย่าเป็นผู้ชายประมูลเดตกับฉันก็พอ ขายหน้าไปชั่วชีวิตเลย!”
“เออว่ะ!”
“แล้วนายล่ะเคน”
คำถามที่ถูกส่งมาทางเจ้าตัวอีกรอบทำให้เคนเดลยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะตอบ
“ฉันไม่คิดจะขึ้นเตียงกับพวกนั้นอยู่แล้ว จะใครก็ได้ฉันไม่สนใจ”
“ก็ตอบสมกับเป็นนายดี”
แล้วก่อนที่พวกเขาจะเถียงกันต่อไป หนึ่งในกรรมการที่ร่วมจัดงานการกุศลนี้ขึ้นมาก็ตรงมาหาพวกเขา ในวัยสี่สิบเธอก็ดูสวยสมวัยดีเพราะชุดราตรีหรูนั้นแนบไปกับเรือนร่างเย้ายวน เธอคลี่ยิ้มให้กับพวกเขาอย่างไม่มีอาการเคอะเขินหรือสะสกสะท้านที่เข้ามาแทรกกลางท่ามกลางผู้ชายสุดยอดหนุ่มหล่อทั้งห้าคน
“สวัสดีค่ะสุภาพบุรุษทั้งหลาย ขอเชิญพวกคุณขึ้นเวทีด้วยนะคะ ตอนนี้ได้เวลาแล้วค่ะ”
คำพูดเชื้อเชิญนั้นทำให้หนุ่มๆ มองหน้ากัน เป็นอันรู้กันว่าได้เวลาขึ้นเขียงแล้ว ก่อนพวกเขาจะขยับตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
๐๐๐๐