ฉันไม่เคยมองว่าการอยู่เป็นโสด จะนำพาความทุกข์ใจหรือความเหงาเข้ามาเหยียบย่างในอกเลย จนกระทั่งวันที่เพื่อนในแก๊งเริ่มทยอยมีแฟน และมีลูกกันไปทีละคน ๆ จนในที่สุด... ก็เหลือฉันเพียงคนเดียวที่ยังโสด
“คิดฮอดซุมกูแนเด้อ” (คิดถึงพวกกูบ้างนะ)
คนตรงหน้าน้ำตาคลอ ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีก ได้เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วโผเข้ามาสวมกอดฉันไว้แน่น
“ฮึก ปีใหม่อย่าลืมกลับมายามซุมกูแนเด้อ” (ฮึก ปีใหม่อย่าลืมกลับมาเยี่ยมพวกกูด้วยนะ)
ด้านหลังของฉันถูกโอบทับซ้ำด้วยเพื่อนอีกสองคน จนกระทั่งร่ำลากันเสร็จสรรพ เราก็ยืนมองท้ายรถของมิ้ง เพื่อนในแก๊งที่ได้แฟนเป็นคนสุพรรณ เลยต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นเพราะต้องเปิดร้านขายของอยู่กับแฟน
“ฮึก ฮือออ”
เสียงร่ำไห้ที่ดังจนน่ารำคาญ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะหันไปมองค้อนใส่เพื่อนที่อารมณ์อ่อนไหวที่สุด
“มึงอย่าเวอร์หลายอีแหวน มันไปอยู่นำผัว มันบ่ได้ไปตาย” (มึงอย่าเวอร์นักอีแหวน มันไปอยู่กับผัว มันไม่ได้ไปตาย)
“ฮึก กะกูใจเสียเนาะ อยู่นำกันมาตั้งแต่อนุบาล มื่อนี่มันหนีไปอยู่หม่องอื่นแล้ว เค้าเศร้าอะเพิน” (ฮึก ก็กูใจหายนี่ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล วันนี้มันหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว เขาเศร้าอะเธอ)
พูดจบก็หันไปซบอกไ****ดที่อยู่ด้านหลัง จนฉันเผลอเบ้ปากออกมาอย่างหลงลืมตัว
“อีกจักหน่อยแก๊งเฮากะสิแตกเด้เนาะ” (อีกไม่นาน แก๊งเราก็คงแตกสินะ)
ตองถอนหายใจยาวเหยียด พร้อมกับทิ้งความสงสัยให้ฉันคิดตาม
“คือสิแตก” (ทำไมจะต้องแตกด้วย)
“เอ้า ปีหน้ากูกะสิแต่งงาน อีแหวนกะสิแต่งสิ้นปีนี่ อีมินตรากะมีลูกน้อยแล้ว มันกะบ่ค่อยได้มาเล่นนำซุมเฮา อีมิ้งกะย้ายไปอยู่นำผัว ส่วนมึง...” (เอ้า ปีหน้ากูก็จะแต่งงานแล้ว อีแหวนก็จะแต่งสิ้นปีนี้ อีมินตาก็มีลูกเล็ก มันก็ไม่ค่อยได้มาเล่นกับพวกเรา อีมิ้งก็ย้ายไปอยู่กับผัว ส่วนมึง...)
มันนิ่งค้างเอาไว้พร้อมกับจ้องมองมาที่ฉันอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายก็พูดออกมาอยู่ดี
“บัดได๋สิมีผัวนำเขา” (เมื่อไหร่จะมีผัวกับเขา)
“เอ้า! อีห่าหนิ” (เอ้า! อีห่านี่)
ไวกว่าคำพูดคือฝ่ามือที่ง้างขึ้นเตรียมจะฟาด แต่มันก็จริงอย่างที่ตองว่านั่นแหละ อายุจะปาเข้า 25 อยู่แล้ว แฟนคนแรกก็ยังไม่มีเลย ถ้าฉันไม่ยึดติดและตามจีบพี่สิงห์อยู่เป็นสิบปี ป่านนี้คงมีผัวไปแล้วสิบคน แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ เรื่องหัวใจมันห้ามกันได้เสียที่ไหน แต่พอฉันรู้ว่ามันไปต่อไม่ได้อีก ฉันก็ยอมถอยออกมาแต่โดยดี คิดมาตลอดว่าต้องมีคู่ของฉันโผล่มาสักวัน แล้วมันวันไหนกันล่ะ นี่ก็รอจนท้อแล้ว
“จังซั่นซุมสูกะอย่าฟ่าวแต่ง เป็นไปได้กะเลิกโลด” (ถ้างั้นพวกมึงก็อย่าเพิ่งแต่งงาน ถ้าเป็นไปได้ก็เลิกเลย)
“เอ้า”
ทั้งหมดอุทานลั่น พร้อมกับหันมาจ้องที่ฉันเป็นตาเดียว
“มึงสิห้ามหยังกะห้ามได้ แต่มึงห้ามหมู่บ่ให้มีแฮง มันบ่ได้!” (มึงจะห้ามอะไรก็ห้ามได้ แต่ห้ามไม่ให้เพื่อนมีผัวไม่ได้)
“เออ!”
ตองสมทบซ้ำเสียงดังชัดเจน สีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมาทันที
“เฮ้ออ กลับปะ กูเซ็ง ๆ ว่ะ”
บอกตามตรงว่าไม่อยากทำนิสัยพาลไปทั่วแบบนี้ เลยขอหนีปัญหาโดยการกลับไปนอนเหงา ๆ อยู่บ้านเพียงลำพัง
“กลับไปบ้านมึงกะบ่เซาเซ็งดอก ไปเล่นน้ำปะ” (กลับบ้านไปมึงก็ไม่หายเซ็งหรอกน่า ปะ ไปเล่นน้ำกัน)
“แมน ไปปูสาดนอนเล่นกะเย็นดีเด้ะ” (ใช่ ไปปูเสื่อนอนเล่นก็เย็นดีนะ)
ฉันไม่ได้ตอบตกลงในทันที เพราะเบื่อที่จะไปนั่งดูพวกมันจู๋จี๋กับแฟน สารภาพเลยว่ามันก็อิจฉานั่นแหละ ไม่ใช่ว่าคนหน้าตาสะสวยเบอร์ต้น ๆ ของหมู่บ้านแบบฉันจะไม่มีใครหันมาแลหรอกนะ แต่เพราะมาตรฐานความหล่อของแต่ละคนไม่ผ่านเกณฑ์ที่ฉันตั้งเอาไว้เลยนี่สิ เลยต้องยอมอยู่เหงา ๆ แบบนี้ลำพัง
“สูไปโลด กูสิกลับไปนอนเว็นอยู่เฮือนดอก” (พวกมึงไปเถอะ กูจะกลับไปนอนเล่นอยู่บ้าน)
“บ่ ๆ ไปนำกัน เพินกลับไปก่อนเด้อ เดี๋ยวมื่อแลงเค้าเข้าไปหาอยู่เฮือน” (ไม่ ๆ ไปด้วยกัน ตัวเองกลับไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวตอนเย็นเขาเข้าไปหาที่บ้าน)
แหวนรับรู้ได้ในทันทีว่าฉันกำลังอึดอัดใจ จึงรีบหันไปบอกแฟนที่กำลังนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์อยู่
“กะได้ ให้เค้าไปส่งบ่” (ก็ได้ ให้เขาไปส่งไหม)
“บ่เป็นหยัง เดี๋ยวนั่งรถอีนาวไปดอก” (ไม่เป็นไร เดี๋ยวนั่งรถอีนาวไปก็ได้)
ในเมื่อแหวนยอมเสียสละขนาดนี้ คงอยากให้ฉันไปด้วยจริง ๆ นั่นแหละ ทั้งที่ใจไม่อยากจะไปเลยสักนิด แต่ก็ทนคำรบเร้าของพวกมันสองคนไม่ไหว ท้ายที่สุดพวกเราเลยต้องมานั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าตะแกรงหน้ารถโยกเยกจนมาถึงที่หมาย ซึ่งเป็นลำน้ำขนาดใหญ่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียง
“แมนบ่ล่ะสู พระอาทิตย์สิตกดินแล้วเด้ คือเป็นตาย่านแถะ” (เราจะเล่นที่นี่จริง ๆ เหรอ พระอาทิตย์จะตกดินแล้วนะ ทำไมมันดูวังเวงจัง)
กว่าพวกเราจะเตรียมตัวและเตรียมมะม่วงไว้กินเสร็จ ก็ได้มาที่นี่ในช่วงบ่ายแก่ ๆ เลย สภาพรอบข้างช่างน่าวังเวงจนบอกไม่ถูก
“บ่เป็นหยังดอก บ่ได้ลงเล่นน้ำ นั่งเล่นฮมไม้ซือ ๆ” (ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้ลงน้ำ แค่นั่งเล่นใต้ร่มไม้เฉย ๆ)
ตองว่าพร้อมกับถือเสื่อประจำกายออกมาจากตะกร้าหน้ารถ แล้วตรงไปยังมุมใต้ร่มไม้ที่อยู่ใกล้กับลำน้ำ
“แต่เขาว่า... ฝั่งนั่นเป็นป่าช้าเก่าเด้ะ” (แต่เขาว่า... ฝั่งนั้นเป็นป่าช้าเก่านะ)
แหวนพยักพเยิดหน้าไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสายน้ำที่ตัดผ่าน ชวนให้ขนลุกซู่ขึ้นโดยอัตโนมัติ
“มามื่อนี่บ่ย่านผีดอกเด้อ มามื่อนี่บ่ย่านผีดอกเด้อ มาโลดผี มาโลด... เอ๊อะ!”
ร้องเพลงไม่ทันจะจบ ตองก็ถูกฉันตบเข้ากะบาลจนหัวโยก
“ปากดีอิหลีมึงหนิ ฟ่าวปูสาด” (ปาดดีจริง ๆ มึงเนี่ย รีบปูเสื่อ)
ถึงแม้ฉันจะเก่งกล้าและไม่เคยกลัวใคร แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่กลัวผีหรอกนะ
“ปอกบักม่วงนำ กูสินอนถ่า” (ปอกมะม่วงด้วย กูจะนอนรอ)
“ก่อนมึงสินอน มึงไปล้างตีนก่อนเลยอีนาว” (ก่อนจะนอน มึงไปล้างเท้าก่อนเลยอีนาว)
“เป็นหยัง” (ทำไม?)
ฉันมองตามสายตาของใบตอง ก่อนจะหยุดมองที่เท้าของตัวเองแล้วร้องอุทานเสียงหลงออกมา
“อี๋ ขี้หมา!”
วันนี้คงไม่ใช่วันของฉันจริง ๆ นั่นแหละ แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็มีเรื่องให้ปวดหัวไม่พักแล้ว
“ลูกอีหน่อแตรดเอ๊ย! หมาโตได๋มาขี้อยู่นี่” (หมาตัวไหนมันมาขี้ใส่ตรงนี้วะ)
“มึงกะอย่าย่างไปทั่วตี้ ฟ่าวไปล้างฮั่น” (มึงก็อย่าเดินไปมั่วสิ รีบไปล้างเท้าเลย)
แหวนโวยวายพร้อมทั้งยกมือขึ้นปิดจมูกด้วยท่าทางรังเกียจสุดฤทธิ์ ฉันจึงต้องรีบเดินลากขามายังท่าน้ำ ก่อนจะทำการล้างรองเท้าแบบคีบสีแดงด้วยท่าทางขยะแขยงขั้นสุด แต่ในขณะที่กำลังล้างรองเท้าอย่างเอาเป็นเอาตาย จู่ ๆ ก็มีเสียงปริศนาดังขึ้นมา
“อื้ออ”
“เสียงหยังวะ...” (เสียงอะไรน่ะ...)
ฉันพึมพำในขณะที่นิ่งชะงัก ในหัวประมวลภาพจระเข้หรืองูใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำนี้ แต่พอฟังชัด ๆ อีกที มันเหมือนเสียงคนครางอยู่ในลำคอมากกว่า
“อื้ออ”
นั่นไง เสียงคนจริง ๆ ด้วย มาจากหลังโขดหินใหญ่ก้อนนั้น หรือว่า... จะมีพวกถ้ำมองมาแอบดูสาว ๆ เล่นน้ำ ดีเลย งั้นมึงเจอกูแน่
ฉันหยิบรองเท้าที่เพิ่งล้างสะอาดขึ้นมาถือในมือแน่น พร้อมกับตรงไปยังโขดหินก้อนใหญ่อย่างไม่เกรงกลัว ถ้าเจอจัง ๆ ว่ามันไม่หวังดีละก็... แม่จะฟาดด้วยรองเท้าแตะให้เลือดกบปากเลยคอยดู
เสียงที่ดังก่อนหน้าเริ่มเงียบหายไป เป็นจังหวะที่ฉันเดินมาชิดที่โขดหินแล้วเรียบร้อย
“อีนาว ไปไส” (อีนาว ไปไหน)
“ชูวว”
ฉันหันกลับไปยกมือขึ้นทาบปากเพื่อส่งสัญญาณให้พวกมันเบาเสียง เพื่อนทั้งสองก็รู้งาน รีบย่องเข้ามาตามหลังอย่างรวดเร็ว
“อิหยังวะ” (อะไรวะ)
ทันทีที่ย่องเข้ามาถึง ตองก็รีบถามเสียงกระซิบสีหน้าตื่น
“คน”
“คน?”
พวกมันย้ำคำเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะหยิบอาวุธคู่กายออกมาถือ อันได้แก่ไม้และก้อนหินที่อยู่ใกล้ตัว
“พร้อมเด้อ” (พร้อมนะ)
ฉันให้สัญญาณสีหน้าจริงจัง หลังจากนั้นก็รีบพุ่งตัวออกไปทันที
“หยุด!”
“...”
“ผะ ผี กรี๊ดดดด!!”
ทันทีที่ปรากฏให้เห็นร่างกำลังช้ำเลือดระบมไปทั้งตัว หน้าตาปูดบวมดูไม่ได้กำลังนอนติดแหงกกับโขดหิน แหวนก็กรีดร้องเสียงดังลั่นรีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ตามไปติด ๆ คือตอง ส่วนฉันนั้นยังยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ใช่ว่าไม่กลัว แต่เพียงแค่ขามันก้าวไม่ออก
“ชะ ช่วยด้วย”
หมับ!
เสียงแหบพร่าจนแทบมีเพียงลมร้องบอก พร้อมกับมือหนาที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงยื่นเข้ามาคว้าข้อเท้าของฉันเอาไว้ นาทีนี้ต่อให้ขาแข็งมากแค่ไหน แต่มันก็เผลอเหวี่ยงออกไปโดยอัตโนมัติ
ตุบ!
ข้อเท้าเล็กสะบัดออกเต็มแรงจนอีกฝ่ายแทบหงาย แต่ยังไม่วายยื่นมือเข้ามาคว้าข้อเท้าซ้ำอีกรอบ
“ชะ ช่วย...”
“กรี๊ดดด!”
เพียะ!
รองเท้าแตะสีแดงพื้นยางฟาดลงผ่านอากาศกระทบเข้าหน้าอีกฝ่ายจนหงายเงิบ คราวนี้นิ่งงันไปทันที เปิดโอกาสให้ฉันได้หนีเอาตัวรอด
“ถ่ากูแนนน” (รอกูด้วยยย)
ฉันวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นฝั่ง ก่อนจะกระโจนขึ้นซ้อนท้ายรถเป็นคนสุดท้าย เนื้อตัวยังสั่นเทากับเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอ ว่าแล้วเชียว พระอาทิตย์จวนจะตกดินอยู่แล้ว พวกมันยังชวนมาเล่นน้ำติดป่าช้าเก่าอยู่ได้ เป็นไงล่ะ เจอดีกันถ้วนหน้า