“อีแหวน ฮับ” (อีแหวน รับ)
ตุบ!
มะม่วงสีเขียวลูกใหญ่เบ้อเริ่มหล่นลงใส่มือของคนที่รอรับอยู่ด้านล่างอย่างพอดิบพอดี
“พอแล้วสู” (พอแล้วพวกมึง)
แหวนหันซ้ายแลขวาพร้อมกับหมุนตัวมองไปรอบข้างอย่างหวาดระแวง เนื่องจากต้นมะม่วงที่ฉันกับตองกำลังปีนป่ายอยู่ตอนนี้ เป็นมะม่วงที่มีเจ้าของ แถมเจ้าของยังขี้หวงและดุมาก ๆ ด้วย ไม่ใช่ว่าบ้านพวกฉันมันอดอยากปากแห้ง ไม่มีแม้แต่มะม่วงจะกินหรอก แต่เป็นเพราะมะม่วงของยายลีมันอร่อยผิดมนุษย์มนา เลยต้องมาขโมยกินอยู่บ่อย ๆ
“เอ้า ฮับ” (เอ้า รับ)
ฉันไม่ฟังที่เพื่อนบอก เพราะกำลังสนุกกับการปีนป่ายไปตามกิ่งก้านมะม่วง และเลือกหาลูกใหญ่ ๆ ที่ค่อนไปทางใกล้จะสุก
“สะ สู ซวยแล้ว!” (พะ พวกมึง ซวยแล้ว)
แหวนตะโกนเสียงกระซิบ ดึงความสนใจให้ฉันกับตองหันไปมอง ถึงได้เห็นว่าตอนนี้ยายลีกำลังเดินถือถังขยะมาที่หน้าบ้าน
“ไป ๆ”
ฉันรีบปัดมือไล่แหวนให้ออกไปก่อน เพราะหากยายลีเห็นว่ามันยืนอยู่ตรงนี้ เราจะซวยกันหมด อย่างน้อยอยู่บนต้นไม้ก็ยังมีใบมะม่วงบดบังล่ะวะ
แหวนรีบหนีไปตามที่ฉันบอก หวุดหวิดกับที่ยายลีถือถังขยะออกมาหน้าบ้านพอดิบพอดี ลำพังแค่แกคงตาไม่ดีที่จะมองเห็นหรอก แต่ก็ดันมีหมามาด้วยนี่สิ
โฮ่ง!
ไอ้หมาเวรเอ๊ยยย
“แมนมึงเห่าหยังบักโก้” (มึงเห่าอะไรวะไอ้โก้)
ยายลีดุเสียงดัง พร้อมทั้งหยิบไม้ขึ้นไล่ฟาดหมา แต่แทนที่ไอ้หมาตัวนี้มันจะยอมหยุด มันกลับวิ่งเข้ามาเกาะใต้ต้นมะม่วงพร้อมทั้งเห่าเสียงดังอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แมนมึงเห่าหยังกะด้อกะเดี้ย ฮ่วย!” (มึงเห่าอะไรของมึงนักหนาวะเนี่ย)
ยายลีเริ่มเสียงดังตาม ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมามอง และพบว่าฉันกับตองกำลังยืนยิ้มแฉ่งอยู่ด้านบน
“แมนไผล่ะสู มาปีนต้นบักม่วงกูเฮ็ดหยัง มาลักบักม่วงกูติ!” (ใครวะ มาปีนต้นมะม่วงกูทำไม จะมาขโมยมะม่วงกูเหรอ)
เสียงแหลม ๆ ของยายลีบอกได้ถึงปริมาณความโกรธ
“สูลงมาเดียวนี่ เดี๋ยว ๆ กูไปเอาแว่นตาก่อน” (พวกมึงลงมาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยว ๆ กูไปเอาแว่นตาก่อน)
พูดแล้วก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ใครจะอยู่รอกันเล่า
“ไป!”
ฉันไม่รอช้า รีบกระโจนลงมายังกำแพงปูน จากนั้นก็กระโดดลงมาแตะพื้นแล้วสับเท้าวิ่งอย่างรวดเร็ว
โฮ่ง ๆ ๆ
“สูอย่าหนี! กลับมาเดียวนี่” (พวกมึงอย่าหนี กลับมาเดี๋ยวนี้นะ)
ยายลียังไม่ทันได้แว่นตาก็ต้องหันกลับมาวิ่งไล่หลัง พร้อมกับหมาไอ้โก้ของแก แต่พวกฉันมันทีมงานคุณภาพ ไม่มีทางจับได้หรอก
“ขึ้นมา!”
แหวนขับรถมาเร็วอย่างกับจรวด พร้อมกับสะบัดล้อจนฝุ่นตลบ ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ฉันกับใบตองก็กระโจนขึ้นเบาะรถแล้วเกาะเอว ก่อนจะบึ่งออกมาจากจุดเกิดเหตุได้อย่างทันท่วงที
“ซุมผีปอบหนิ อย่าให้กูรู้เด้อว่าสูเป็นลูกไผ!” (พวกผีปอบ! อย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงเป็นลูกใคร)
หญิงผมหงอกยืนค้ำเอวชี้หน้าด่าไล่หลัง ถือว่าแต้มบุญของพวกฉันยังมีเหลืออยู่ วันนี้แกถึงได้เดินออกมาโดยไม่สวมแว่นตา ไม่งั้นพวกฉันคงได้ขึ้นบ้านผู้ใหญ่ไปกินน้ำเย็นอีกแน่ ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะ แค่เบื่อเฉย ๆ เพราะฉันไปบ่อยจนรำคาญ และแทนที่ฉันที่เป็นหลานผู้ใหญ่บ้านแล้วจะได้รับสิทธิพิเศษกว่าใคร ฉันกลับโดนผู้ใหญ่บ้านดุด่าและลงโทษหนักทุกครั้ง ราวกับไปฆ่าใครตายอย่างนั้นแหละ
“เกือบไปแล้วว”
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกับปัดเศษฝุ่นออกจากเนื้อตัวหลังจากที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถ
“ซวยอิหลีวะ ดีนะบักโก้มันสวบขากูบ่ทัน” (ซวยจริง ๆ เลย ดีนะไอ้โก้มันกัดขาฉันไม่ทัน)
ตองพูดเสริมในขณะที่ยังหอบหายใจเสียงดังพลางทิ้งตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อน
“เอ้า ไปไหนกันมา ท่าทางเหนื่อยหอบเชียว”
เจ้าของบ้านเปิดประตูออกมาดู คงได้ยินเสียงรถและเสียงพูดคุยกันเสียงดัง
“ไปขโมยมะม่วงยายลีมา”
ฉันหันไปตอบมินตรา พลันหันไปชูถุงมะม่วงให้ดู
“ไปขโมยอีกแล้วเหรอ?”
เธอว่าอย่างหนักใจ เพราะสภาพเพื่อนแต่ละคนไม่ต่างไปจากโจร แต่ก็โจรจริง ๆ นั่นแหละ แค่โจรกระจอก ออกขโมยแต่ของกิน ยิ่งของคนที่ขี้เหนียวนี่ยิ่งชอบ มันท้าทายดี
“ครั้งต่อไปถ้าอยากกินก็บอกได้นะ เดี๋ยวให้พี่สิงห์ออกไปซื้อให้”
“ซื้อกะบ่แซบคือลักดอก เดี๋ยวกูไปซงแจ่วก่อน” (ซื้อก็ไม่อร่อยเท่าขโมยหรอก เดี๋ยวกูไปทำพริกเกลือก่อนนะ)
ตองบอกออกไปได้ตรงใจของฉัน จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในครัว บ้านของมินตราเป็นบ้านสองชั้นขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าหรูหราที่สุดในหมู่บ้านนี้เลย เพราะพื้นฐานครอบครัวของมินตราเป็นคนที่รวยมาก และเธอเป็นสาวชาวเมือง อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ดันมีเรื่องราวให้ต้องได้มาอยู่ที่นี่ และได้เจอกับพี่สิงห์ จนกระทั่งได้รักกัน และฉันก็อกหักโดยปริยาย แต่ก็ช่างมันเถอะ ต่อให้วันนั้นมินตราไม่เข้ามา พี่สิงห์ก็ไม่รักฉันอยู่ดีนั่นแหละ ถ้าเขาคิดจะรัก เขาคงรักไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้ฉันตามตื๊ออยู่เป็นสิบปีหรอก...
“บักหิรัญล่ะ” (ไอ้หิรัญล่ะ)
แหวนหันไปถามหาหลานชายตัวน้อย เพราะปกติจะเห็นมินตราอุ้มติดอกไว้ตลอด
“เพิ่งนอนหลับเมื่อกี้นี้เอง”
“พี่สิงห์ล่ะ”
ฉันถามบ้าง เพราะปกติไม่ค่อยเห็นมินตราอยู่บ้านคนเดียว
“เอาว่านออกไปให้ตาพวงน่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว”
พูดถึงตาพวง ก็พลอยทำให้นึกถึงผู้ชายคนนั้นอีกแล้วสิ
“แกรู้จักผู้ชายที่ชื่อพญาไหม ที่มาอยู่กับตาพวงน่ะ”
“ไม่รู้จัก”
เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“รู้แค่ว่าเป็นเพื่อนพี่สิงห์ เห็นอาทิตย์ก่อนก็มาหา แต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน”
“ใช่ อาทิตย์ที่แล้วเขาน้ำมันหมด ฉันเลยพาเขาขับรถมาส่งที่บ้านตาพวงไง จำได้ไหมพี่ดาราที่เล่าให้ฟังน่ะ”
“โอ๋ อ้ายดาราน่ะเบาะ” (อ๋ออ พี่ดาราน่ะเหรอ)
ตองที่เพิ่งเดินออกมาพร้อมกับถ้วยพริกเกลือเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“แมน ๆ โลกกลมอิหลีวะ กูพ้อเลาแบบบังเอิญมาสองเทือแล้ว” (ใช่มึง โลกกลมฉิบหาย กูเจอเขาแบบบังเอิญมาสองรอบแล้วนะ)
“โลกกลมหรือพรหมลิขิตน้อ”
“ฮันแนนน”
ทั้งสองต่างยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับมองมาที่ฉันอย่างล้อ ๆ แต่ก็ถูกฉันยกมีดขึ้นขู่ไปหนึ่งที
“สิมาพรหมลิขิตหยัง กูยังบ่เห็นหน้าเลาจักเทืออยู่ ไปมื่อนี่กะมีแต่แผล หน้ากะบวมเบิด ผู้ฮ่ายคัก” (จะมาพรหมลิขิตอะไรยะ กูยังไม่เคยเจอหน้าเขาสักครั้ง ไปวันนี้ก็มีแต่แผล หน้าก็บวม ขี้เหร่จะตาย)
“มึงกะให้โอกาสเลาได้รักษาโตก่อนแน” (มึงก็ให้โอกาสเขาได้รักษาตัวก่อน)
แหวนรีบเอ่ยพร้อมกับหยิบมะม่วงขึ้นจิ้มพริกเกลือก่อนจะยัดใส่ปาก
“บ่ ๆ กูว่าเลาตาย่าน ปิดหน้าปิดตา เฮ็ดโตลึกลับ แถมยังมีแต่แผลเต็มโต จักถืกไผตีมา กูว่าอ้ายอันนี่ต้องบ่แมนคนดี” (ไม่จ้ะ กูว่าเขาน่ากลัว ปิดหน้าปิดตา ทำตัวลึกลับ แถมยังมีแต่แผลเต็มตัวไปหมด ไม่รู้ไปถูกใครตีมา กูว่าพี่คนนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน)
“มองในแง่ร้ายไปมั้งมะนาว พี่เขาก็นิสัยดีนะ แถมหล่อมากด้วย”
“นั่นเห็นบ่ แต่มินตรามันยังว่าหล่อ เอาเลย นี่ล่ะเนื้อคู่มึง” (เห็นไหม มินตรายังบอกว่าหล่อเลย เอาเลยมึง นี่แหละเนื้อคู่มึงชัด ๆ)
แหวนรีบเสริมทัพ
“บ่ ๆ บ่ผ่านมาตรฐาน” (ไม่ ๆ ไม่ผ่านมาตรฐาน)
ฉันว่าพลางเคี้ยวมะม่วงไปด้วย พร้อมกับหรี่ตาและซี้ดปากให้กับความเปรี้ยวที่แผ่ซ่าน
“กูบ่มักคนโตใหญ่วะ” (ฉันไม่ชอบคนตัวใหญ่)
“บ่ใหญ่คักดอก กะซำอ้ายสิงห์เด้ล่ะ เนาะแหวน” (ไม่ใหญ่หรอก กำลังพอดี ก็เท่าพี่สิงห์นี่แหละ เนอะแหวน)
“เออ ซำนี่ล่ะพอดี เขาว่าคนโตใหญ่หำใหญ่เด้มึง” (เออ เท่านี้แหละพอดี เขาว่าคนตัวใหญ่ ไอ้นั่นมันก็ใหญ่ด้วยนะมึง)
พูดแล้วก็หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
“แท้บ่ เปิดออกมากะสิซำหมากตะลิงปลิงนี่เนาะ ฮ่า ๆ ๆ” (จริงปะ ไม่ใช่เปิดออกมาแล้วเล็กเท่าตะลิงปลิงนะ ฮ่า ๆ ๆ)
เสียงหัวเราะดังลั่นคับบริเวณ หากใครขับรถผ่านมาเห็นคงได้กลัวกันหมด
“กูเว่าอิหลีเด้หนิ โตใหญ่กะหำใหญ่ แมนบ่มินตรา อ้ายสิงห์หำใหญ่บ่ ซำได๋” (กูพูดจริงนะเนี่ย ตัวใหญ่ ก็จู๋ใหญ่ ใช่ไหมมินตรา ของพี่สิงห์น่ะ ใหญ่เท่าไหน)
“...”
คนถูกถามอึกอัก หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาในทันที คราวนี้สนุกพวกมันเลยละ
“ซำนี่บ่” (เท่านี้ป่ะ?)
แหวนยกแขนขึ้นมากำรอบ พร้อมกับส่งสายตากดดัน
“เอ่อ... มั้ง”
“ป๊าดดด ซำแขน” (โอ้โหห! เท่าแขน)
“สูกะอย่าไปล้อมัน มันแฮงขี้อายอยู่” (พวกมึงก็อย่าไปล้อมันมาก มันยิ่งขี้อายอยู่)
ฉันส่ายหัวอย่างขบขัน แต่ละวันได้หายเหงาก็เพราะมีเพื่อน นึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าถ้าพวกมันแต่งงานแล้วหนีไปมีครอบครัวหมด ฉันจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ยังไง