ตอนที่ 12 ผมกำลังท้อง
“รุซลัน...”
ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเรือพายลำเล็กกลางทะเลสาบ แล้วถูกคลื่นลมทำให้เรือนั้นโคลงเคลงโยกเยกไปมา แขนขาอ่อนล้า ไร้เรี่ยวแรง ท้ายทอยระบมเมื่อครู่นั้นถูกช้อนยกขึ้นมาแล้วแทนที่ด้วยหมอนรองนุ่มๆ
“รุซลัน นายได้ยินฉันมั้ย” เสียงขรึมของมาเฟียใจร้ายเรียกชื่อของผมซ้ำๆ
“...............” เมื่อเปลือกตาถูกขยับยกขึ้น ภาพของคุณคาลวินลอยเด่นเห็นชัดเจนห่างจากใบหน้าผมไปเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
เวลานี้ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เหมือนมีเข็มเล่มเล็กทิ่มแทงไปทั่วหน้าอกด้านซ้าย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่ไม่อาจพูดออกไปได้ว่าสิ่งที่ผมได้ยินเมื่อครู่นั้น เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเอามาหยิบยกพูดโพล่งออกมาพล่อยๆ
“รุซลัน” อีกครั้งที่คุณคาลวินเรียกชื่อผม
“ครับ” ผมขยับยันฝ่ามือลงไปบนโซฟา พยุงตัวเองลุกขึ้นมานั่ง
“นายเป็นอะไร ไม่สบายอย่างนั้นเหรอ”
“ผม...แค่หน้ามืดน่ะ” ผมมองผ่านข้ามหัวไหล่สูงนั้นเลยไปด้านหลัง
ผู้ชายหน้าเหี้ยม เจ้าของเสียงคุ้นหู ผู้ต้องหาฆ่าพ่อของผม รวมถึงแม่ของลูก้าตาย ยังคงยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง สายตาว่างเปล่าเฉยชาไร้อารมณ์เหมือนคนพวกนี้ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นผมมาก่อน มองตอบกลับมาราวกับว่าเราสองคนไม่เคยพบ ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
“คุณ...ไปประชุมเถอะครับ ผมไม่เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ”
มือหยาบจับแขนผมยกขึ้นมาเป็นรอยแผล ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเกิดจากเหยือกแก้วสำหรับใส่น้ำ มันอาจตกแตกแล้วบาดมือ บาดแขน เป็นริ้วเป็นรอย แต่ไม่ใช่แผลใหญ่โตอะไรมากนัก หน้าผากโนคงช้ำเพราะหัวพลาดไปฟาดขั้นบันไดตอนกลิ้งลงมา
“แค่นิดหน่อยเองครับ” ผมใช้ฝ่ามือลูบสำรวจร่างกายตัวเอง เห็นรอยเขียว รอยแดง รอยถลอกนิดหน่อย
“ฉันจะให้แม่บ้านเอายาขึ้นไปให้ แล้วก็...นายควรนอนพักซะ ฉันประชุมเสร็จเดี๋ยวจะพาไปโรงพยาบาล”
“ไปโรงพยาบาล ไปทำไมครับ”
“เมื่อวานก่อนตอนถูกจับตัวไปนายหัวกระแทกไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้อยู่ๆ ก็หน้ามืดเป็นลม จนกลิ้งตกบันไดลงมา ดีเท่าไหร่แล้วที่กลิ้งลงมาแค่ไม่กี่ขั้น ไม่อย่างนั้นคงเจ็บตัวหนักกว่านี้ เอาล่ะขึ้นไปรอฉันบนห้อง” คุณคาลวินพยักหน้าเรียกให้แม่บ้านสองคนมาพยุงพาผมเดินกลับขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง ระหว่างเดินกลับขึ้นไปยังชั้นสอง ผมยังทันได้เห็นพ่อมาเฟียหนุ่มเลือดเย็นเดินหายเข้ไปภายในห้องประชุมใหญ่ โดยมีพวกลูกน้อง ลูกสมุนเดินต่อแถวตามเข้าไป เหลือแค่คนยืนเฝ้าหน้าประตูแค่สองคนเท่านั้น
ภาพของน้องชายยังคงซุกตัวนอนหลับอยู่กับเจ้าเอรา สิงโตขาวสัตว์เลี้ยงที่ผมยังไม่อยากเชื่อใจว่ามันเชื่องจริง หรือเพียงแค่มันยังอิ่มจากอาหารหลัก ทำให้ผมหนักใจ
“ผมไม่เป็นอะไรมาก พวกคุณลงไปทำงานเถอะ”
“แต่คุณคาลวิน สั่งให้พวกเราคอยอยู่บนนี้เพื่อดูแลคุณ”
“ดูแล...?”
‘ดูแล หรือจับตาดูกันแน่?’
“ถ้าอย่างนั้น แล้วแต่พวกคุณ ผมขอนอนพักสักงีบ”
ผมขยับไปนอนข้างลูก้าขยับเปลือกตาให้ปิดลง แล้วเปิดกรุความทรงจำภายในหัว คิดทบทวนกลับไปในเหตุการณ์คืนวันนั้นอีกครั้ง แม้มันจะผ่านมานานเกือบปีแต่สำหรับผม กลิ่นคาวเลือด ควันไฟ เสียงร้องไห้ของลูก้าในคืนนั้นยังดังก้องสะท้อนอยู่ในหัว เป็นเหมือนคลิปวิดีโอที่ถูกเปิดฉายซ้ำๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
“ลูก้า ทำอะไรครับ” แม้ไม่ต้องลืมตา ผมก็จำฝ่ามือน้อยๆ อันนุ่มนิ่มที่แตะลงมาบนแก้มได้
“รุซไม่สบายเหรอ”
“พี่ไม่ได้เป็นอะไร”
ผมลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าเวลานี้ไม่ได้มีแค่ผม ลูก้า และเจ้าเอราสิงโตขาว เพราะคุณคาลวินกลับขึ้นมาบนห้องแล้ว แสดงว่าการประชุมเมื่อช่วงบ่ายเสร็จสิ้นลงแล้วสินะ นี่ผมหลับไปนานขนาดไหนกัน วิคเตอร์ผู้ช่วยคนสนิทยืนอยู่แถวๆ หน้าประตูกับบอดี้การ์ดหน้าเดิมสามสี่คน
“นายเป็นยังไงบ้าง”
“ผมบอกแล้วนี่ ว่าผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งรวบรวมสติให้กลับมาหาตัว
นาฬิกาแขวนโบราณตรงข้างฝา บอกเวลาให้รู้ว่าเวลานี้ผมต้องพาน้องไปอาบน้ำ ผมเลี่ยงที่จะพูดคุยกับเจ้าของบ้านเพราะยังปรับอารมณ์ไม่ถูก อีกทั้งผมยังไม่อยากปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ คนที่น้ำเสียงคล้ายกันนั้นมีมาก อีกทั้งวันนั้นผมก็ไม่ได้เห็นกับตา ว่าเป็นผู้ชายคนนั้นจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนเรื่องที่ตระกูลเมมเบย์ ไม่ถูกกับมาซัค มันจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณคาลวินสั่งฆ่าพวกเรายกครอบครัวได้จริงๆ นะเหรอ
“รุซจะไปหาหมอฉีดยาเหรอ” เจ้าตัวเล็กขยับมานั่งลงบนตักผม
“พี่ไม่ไปหรอกครับ เราไปอาบน้ำกันดีกว่า” ผมกลบเกลื่อนความไม่สบายใจด้วยการอุ้มน้องชายเดินหายเข้ามาภายในห้องน้ำ จากนั้นแสร้งทำเหมือนว่าทุกอย่างปกติ
“รุซลันนายเป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างสูงขยับเดินตามเข้ามายืนกอดอกมองผม
“เป็นอะไร...คุณหมายถึงอะไรเหรอครับ” ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ขับไล่สิ่งระแวงแคลงใจทั้งหลาย แล้วหันไปยิ้มให้หัวหน้าแก๊งมาเฟียใหญ่
“วันนี้ดูนายเหมือนมีเรื่องหงุดหงิด ไม่สบายใจ เป็นอะไรหรือเปล่า”
"เปล่าสักหน่อย"
"คิ้วนายน่ะพับจนขมับจะวิ่งมาชนอยู่แล้วยังจะมาบอกว่าเปล่าอีก"
"ผมแค่หงุดหงิด" ผมพูดไปเรื่อยเปื่อยพยายามกลบเกลื่อนความไม่สบายใจ
"เดี๋ยวนี้ทำไมหงุดหงิดง่าย หงุดหงิดบ่อยจังเลย"
"คงเพราะอยู่กับคุณมากไปหน่อยมั้งครับ ก็เลยติดนิสัยขี้รำคาญ ขี้หงุดหงิดมา แล้วถ้าผมหงุดหงิด...คืนนี้คุณจะช่วยทำให้ผมกลับมาอารมณ์ดีได้หรือเปล่าล่ะครับ” ผมหันไปยักคิ้วให้
“ได้อยู่แล้ว แต่ว่านายต้องขึ้นไปนอนที่ห้องฉันนะ” คุณคาลวินเดินมานั่งลงตรงอ่างอาบน้ำแล้วยื่นข้อเสนอ
“ถ้าคุณสามารถทำให้ผม ไม่มีแรงเดินกลับมาชั้นสองได้ ผมจะยอมนอนค้างที่ห้องกับคุณ” ผมเหลือบตาลงไปมองลูก้าที่ห่วงเล่นตุ๊กตาฉลามลอยน้ำ แล้วขยับเข้าไปจูบปากกับคุณคาลวินพร้อมกับส่งยิ้มยั่วยวน
“นายพูดเองนะ...”
“ครับ ผมพูดคำไหน คำนั้น”
คืนนี้ผมตกลงกับลูก้าแล้วบอกว่าคืนนี้ผมจะขึ้นไปนอนห้องคุณคาลวิน ส่วนหนึ่งเพราะอยากสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้น หลังจากกล่อมน้องให้หลับลงได้ ผมแกล้งเดินลงไปหาเครื่องดื่มแถวๆ บาร์เหล้าส่วนตัวของพ่อเศรษฐีเจ้าของคฤหาสน์พันล้าน
“คุณรุซลัน หาอะไรเหรอครับ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาทักหลังจากผมแกล้งรื้อนั่นค้นนี้เสียงดังขลุกขลักๆ อยู่นาน
“ผมกำลังมองหา ที่เปิดขวดแชมเปญน่ะ” ผมยกขวดแชมเปญชั้นดีที่ได้มาจากตู้แช่ไวน์ขึ้นให้บอดี้การ์ดคนนั้นเห็น
“ตามปกติ มันจะเก็บเอาไว้ในลิ้นชักด้านล่างนี่ครับ”
“อย่างนั้นเหรอ แต่ผมหาไม่เห็นเลย”
“เดี๋ยวผมลองเข้าไปดูในห้องประชุมให้นะครับ บางทีแม่บ้านอาจจะไม่ได้เก็บออกมา”
“ในห้องประชุมเหรอ?”
“ครับ เมื่อช่วงบ่ายคุณคาลวินสั่งให้เปิดแชมเปญฉลอง บางทีอาจยังอยู่ในห้องนั้น”
‘ฉลอง...อะไรกันนะ?’
เป็นจริงอย่างที่ผมคิด ตอนที่จูบปากกันในห้องน้ำผมได้กลิ่นและสัมผัสรสแชมเปญมาจากลิ้นนุ่มๆ นั้น แสดงว่าการประชุมเมื่อช่วงบ่ายคงมีเรื่องสำคัญอันน่ายินดี
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเข้าไปดูเองก็ได้”
“เอ่อ เดี๋ยวผมเข้าไปหยิบให้ครับ”
“ช่วยกันหาแล้วกัน ผมไม่อยากขึ้นไปช้า นายก็รู้ว่าคุณคาลวินไม่ชอบรอนาน”
ผมเดินนำหน้าบอดี้การ์ดคนนั้นมาจนถึงหน้าห้องประชุมแล้วจึงเปิดเข้าไป ภายในห้องประชุมใหญ่โต๊ะไม้ขนาดยาว มีเก้าอี้จัดวางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ทุกอย่างถูกเก็บ ถูกทำความสะอาดเรียบร้อย
“โอ้โห สาขาของตระกูลเมมเบย์เยอะขนาดนี้เชียว” ผมแกล้งเดินไปทำท่ามองหาที่เปิดแชมเปญตามโต๊ะอย่างช้าๆ
“ครับ วันนี้ยังมากันไม่ครบขาดไป สี่ห้าสาขา”
“นี่ขนาดมาไม่ครบ คนยังเยอะขนาดนี้เลยนะ ตระกูลเมมเบย์นี่ยิ่งใหญ่จริงๆ”
ผมเดินวนรอบห้องประชุมเพื่อเก็บรายละเอียดสำคัญอย่างช้าๆ ก่อนจะดึงที่เปิดแชมเปญออกมาจากกระเป๋ากางเกงชูให้บอดี้การ์ดคนนั้นดูแล้วพยักหน้าชวนกันออกมา
“นายเข้าไปทำอะไรในนั้น” เราสองคนเปิดประตูออกมาเจอกันวิคเตอร์พอดี
“คุณรุซลันเข้ามาหาที่เปิดขวดแชมเปญน่ะครับ”
“...........” ผมยกที่เปิดขวดขึ้นมาให้ผู้ช่วยของคุณคาลวินเห็น ก่อนที่อีกอีกฝ่ายจะพยักหน้าช้าๆ
“คุณคาลวินให้ผมลงมาตามคุณ”
“อ่อ....ครับ เอ่อ....คุณช่วยผมยกถาดแชมเปญกับของพวกนั้นขึ้นไปหน่อยได้มั้ยครับ” ผมพยักหน้าไปทางถาดซึ่งมีขวดแชมเปญเตรียมเอาไว้พร้อมแก้มเปล่าสองใบ
“มัวทำอะไรอยู่ ทำไมถึงขึ้นมาช้าจังเลย” คำทักทายประโยคแรก ดังขึ้นมาเมื่อผมเดินพ้นประตู
“เอาเป็นว่าสิบนาทีที่เสียไป ผมจะชดเชยให้คุณอย่างถึงใจทีเดียวครับ” ผมหันไปหยิบขวดแชมเปญใหญ่ แล้วใช้ที่เปิดจัดการกับมันอย่างคล่องแคล่ว
“แชมเปญ...มีเรื่องอะไรน่ายินดี ที่เราต้องดื่มฉลองอย่างนั้นเหรอ” คุณคาลวิน รับแก้วแชมเปญไปถือไว้ ขณะที่ผมค่อยๆ บรรจงรินน้ำสีทองสุกสว่างจากภายในลงไปในแก้ว
“อันที่จริง ผมยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่หรอกครับว่า เราควรเรียกมันว่าข่าวดี หรือว่าเรื่องน่ายินดีหรือเปล่า” ผมรินแชมเปญลงไปในแก้วเปล่าอีกใบอย่างใจเย็น จากนั้นเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลทอง
“ถ้าอย่างนั้น นายลองบอกฉันมาสิว่า เรื่องอะไร”
“ผมคิดว่าตอนนี้ ผมกำลังตั้งท้อง....”
"............"