มู่ถิงฟางในอาภรณ์รัดรึงเรือนกายพร้อมกับเครื่องร่อนหน้าตาประหลาดยืนเตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าผา บ่าวชายห้าคนยืนขมวดคิ้วอยู่ด้านข้าง เห็นมู่ถิงฟางจับราวเหล็กเครื่องร่อนกำลังจะร่อนตัวลงจากหน้าผา พวกเขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าคุณหนูสกุลมู่เสียอีก
คุณหนูสกุลมู่มักหาวิธีฆ่าตัวตายแบบแปลก ๆ เสมอ แต่นางก็ยังไม่ตายสักครั้ง
การใช้เครื่องร่อน ร่อนต้านลมลงจากหน้าผา ถือเป็นการฆ่าตัวตายอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งสภาพศพอาจไม่สวยนัก
"พวกเจ้าทำไมต้องเหงื่อแตกด้วยเล่า"
"เอ่อ ..การร่อนลงจากหน้าผา เหมือนการฆ่าตัวตายขอรับ"
"นี่กล้าแช่งข้ารึ"
"มันอันตรายเกินไป คุณหนูควรเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น"
"ข้าไม่ใช่เด็ก ทดสอบเครื่องร่อนเรียกว่าการทดลอง ไม่ใช่ของเล่น"
"คราวที่แล้วคุณหนูทดลองระเบิดที่กล่าวว่าเป็นของเล่น แต่ภูเขาหายไปเกือบครึ่งลูกเลยนะขอรับ"
"นั่นเป็นดินระเบิดสูตรใหม่ของข้าเอง เพิ่งคิดค้นขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ"
"ยังดีที่ระเบิดภูเขาดินในสกุลมู่ ไม่ได้เอาไประเบิดที่อื่น"
"ถือว่าข้าระเบิดดินขาวมาให้คนงานทำเครื่องปั้นดินเผา" มู่ถิงฟางทดสอบระเบิดสูตรพิเศษของนางในหุบเขาที่ตั้งโรงเผาของสกุลมู่ เอาไประเบิดเนินเขาดินขาวจากหินฟันม้าเอามาทำเครื่องปั้นดินเผาทนไฟชนิดพิเศษ
"คุณหนูเก่งกาจ แต่ เอ่อ..เครื่องร่อนอันตรายเกินไปขอรับ"
"ข้าใส่หมวกนิรภัยอยู่ เจ้าไม่เห็นรึ" มู่ถิงฟางชี้ไปที่หมวกแข็งเคลือบยางไม้เงาวับบนหัวของนาง
"เพียงป้องกันศีรษะกระแทก ไม่ได้ป้องกันคอหัก"
"ท่านปู่อนุญาตให้ข้ามาเล่นได้ เครื่องร่อนต้องปลอดภัยระดับหนึ่ง"
"ขอรับ" บ่าวชายถอนหายใจ ทำหน้าที่ทัดทานเต็มความสามารถ ในเมื่อคุณหนูไม่ฟัง ก็แล้วแต่นางเถิด
มู่ถิงฟางจับราวเครื่องร่อนไว้มั่น รอลมพัดแรงขึ้นอีกนิด ร่อนกายลงจากหน้าผาพร้อมเครื่องร่อนของนาง
ฟู่ววว!
ลมพัดเครื่องร่อนบินออกจากหน้าผา กลุ่มบ่าวชายยืนตาค้าง แต่ไม่ลืมปรบมือดังแปะ ๆ
ลมพัดแรงขึ้น พามู่ถิงฟางลอยไกลออกไป ร่างเล็กยิ้มกว้าง สูดหายใจเข้าเต็มปอด ปล่อยให้ลมต้านปีกเครื่องร่อน พานางบินลอยไปอย่างนก
"โอ้โห..วิวทิวทัศน์ช่างงดงามเหลือเกิน" คุณหนูสกุลมู่เพลิดเพลินชมต้นไม้ รวมถึงหลังคาบ้านเรือนผู้คน
"เครื่องร่อนของท่านปู่ช่างวิเศษนัก" ลมพัดมาวูบหนึ่งทำให้เครื่องร่อนของนางเปลี่ยนทิศไปทางตะวันตก
"อ้าว ลมนี่จะพัดพาข้าไปไหนกันเล่า" ลมพัดเปลี่ยนทิศ ทำให้เครื่องร่อนของนางเลี้ยวขวาไปตามลม
เครื่องร่อนบินโฉบลงแถบทุ่งข้าวสาลีกว้างใหญ่สีทองอร่าม เห็นคนงานบางส่วนกำลังเกี่ยวข้าวสาลีใส่รถลากเทียมม้าอยู่ด้านล่าง ผู้คนตัวเล็กเท่ามดปลวกทำเอานางหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
มู่ถิงฟางกวาดสายตามองโดยรอบ เป็นทุ่งข้าวสาลีขนาดใหญ่ผืนเดียวกัน คงเป็นของตระกูลการค้าที่มั่งคั่งตระกูลใดตระกูลหนึ่ง การมองลงจากด้านบนทำให้ทิวทัศน์ดูแปลกตา รู้สึกว่าทิวทัศน์แถบนี้คุ้นตาเหลือเกิน นางอาจเคยผ่านมาแต่จำไม่ได้ว่าเคยมาตอนไหน
ลมใต้ปีกเครื่องร่อนพัดอ่อนลง จู่ ๆ ก็ไร้ลมอย่างฉับพลัน
"ว๊ายยยยย" มู่ถิงฟางกรีดร้อง เครื่องร่อนของนางกำลังหัวทิ่มพุ่งลงสู่พื้นดิน
"ตายแล้ว ตาย ๆ ๆ ๆ พระโพธิสัตว์ช่วยข้าด้วย" สตรีผู้บอบบางไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่กำมือแน่นไปบนราวเหล็ก ปล่อยให้เครื่องร่อนพาตนดิ่งลงด้านล่าง กะว่าใกล้ถึงพื้นดินแล้วจะกระโดดลงในพุ่มหญ้า
ฟิ้ว ๆ ๆ ๆ
เครื่องร่อนหมุนคว้างเหมือนลูกข่าง ปักหัวลงอย่างเร็ว
"ลาก่อนทุกคน" มู่ถิงฟางหลับตาปี๋ นึกถึงคำกล่าวของบ่าวชายว่าเป็นการฆ่าตัวตายในรูปแบบหนึ่ง นางได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ อย่างเห็นด้วย
ฟึ่บ!
เครื่องร่อนหัวปักลงบนกองฟางข้าวขนาดใหญ่
โป๊ก! เสียงหมวกแข็งโขกกับโครงเครื่องร่อน รวมถึงมู่ถิงฟางที่หัวปักลงในกองฟางจนขาชี้ฟ้า สภาพดูไม่จืดยิ่งนัก
แค่ก ๆ ๆ สตรีตัวเล็กสำลักเศษฝุ่นจากฟางข้าว กองฟางกระจัดกระจาย มีเครื่องร่อนวางทับหัวอยู่พร้อมกับปีกหักด้านหนึ่ง
มู่ถิงฟางลุกขึ้นมาอย่างมึนงง ยังดีที่สวมหมวกนิรภัยเอาไว้บนหัว มิเช่นนั้นคงหัวแตกไปแล้วกระมัง
ในขณะที่หยัดกายจากพื้นปัดเศษฝุ่นฟางออกจากตัว หูพลันได้ยินเสียงเนื้อกระแทกเนื้อดังสนั่น.....