“คิดอะไรอยู่”
“เปล่าค่ะ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเรียกสติหญิงสาวที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ให้หันมาสนใจเขา หทัยชนกยิ้มหวานก่อนจะนั่งลงเคียงข้างสามีที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา
“เออใช่ พี่ก็ลืมบอก เจ้าดินจะแต่งงานแล้วนะ ธารินเพิ่งยอมใจอ่อน เห็นว่าดินมันขอแต่งงานอยู่หลายครั้งแต่ธารินยังไม่อยากแต่ง พี่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวให้ธาริน เฟิร์นคิดว่ายังไง”
“ก็ดีนะคะ รินเองก็เป็นเด็กดีมาตลอด แล้วไหนจะยังไม่มีครอบครัวอีก”
“พี่จะเรียกเจ้าดินให้สมน้ำสมเนื้อเลยคอยดูสิ”
“อย่าแกล้งคุณดินสิคะ”
“แหม ก็หมั่นไส้ คลั่งรักเหลือเกิน”
“พี่เองก็เคยคลั่งรักนะคะ”
“ใครว่าแค่เคย ตอนนี้ก็ยังคลั่งอยู่ เฝ้ามาตั้งแต่เด็ก จะไม่คลั่งได้ยังไง”
“จ้องจะกินเด็กเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ จ้องมาตั้งนาน สุดท้ายก็ได้กิน อร่อยด้วยนะ กินได้ตลอดไปเลย”
“ถ้าตอนนั้นเฟิร์นไม่ตกลงล่ะคะ”
“ก็ฉุดเลย แค่นั้นเอง”
“…..”
“จะใจร้ายกับพี่ได้ลงคอเหรอ พี่รอมาเป็นสิบปีเลยนะ”
“ไม่รู้สิคะ เรื่องนั้นไม่มีใครรู้ได้หรอกค่ะ”
“ใจร้ายจัง”
สองสามีภรรยานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดึก หทัยชนกจึงขอตัวไปอาบน้ำก่อน เธอใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักใหญ่ ก่อนที่จะกลับออกมานั่งคุยเป็นเพื่อนสามีหนุ่มอีกครั้งในชุดนอนสีขาวตัวสวย
“หืม วันนี้ไม่รีบนอนเหรอ”
“ยังไม่ง่วงค่ะ”
มือใหญ่ส่งแก้วเครื่องดื่มให้ภรรยาสาว หลังจากที่เธอลุกไปอาบน้ำ เขาเดินไปหยิบวอดก้าออกมานั่งดื่มต่อ จากตอนแรกที่ตั้งใจจะดื่มแค่แก้วเดียว ก็เลยดื่มไปเรื่อยๆ
หญิงสาวหยิบแก้วจากมือสามีมาจิบเบาๆ เธอกับเขาไม่เคยมีอะไรที่ต้องผิดใจหรือทะเลาะเบาะแว้งกันเลย เพราะทุกวันก่อนนอน เธอกับสามีจะมานั่งคุยกันแบบนี้ทุกวัน เพื่อไม่ให้มีความลับหรือเรื่องปิดบังกันจนก่อให้เกิดปัญหานั่นเอง
“พี่ไปอาบน้ำบ้างดีกว่า”
ร่างสูงเดินออกไปหลังจากพูดจบ หทัยชนกมองตามร่างสูงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนเองที่วางอยู่ออกมากดดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนเห็นข้อความที่น้ำฝนติดต่อเข้ามา
หญิงสาวโทรหาน้ำฝนเพื่อสอบถามรายละเอียดงานที่ติดต่อเข้ามา ก่อนจะได้รู้ว่า เชิญทั้งเธอ วชิรวิษ และเจ้าแฝดของเธอ
หญิงสาวขอรอถามสามีกับเด็กทั้งคู่ก่อน จะให้คำตอบอีกทีในวันรุ่งขึ้น น้ำฝนจึงวางสายไป พร้อมกับที่สามีหนุ่มออกมาจากห้องน้ำพอดี
“มีอะไรเหรอ”
“พี่ฝนบอกว่ามีงานติดต่อมาค่ะ ให้ไปออกงานอีเว้นท์”
“ก็ไปสิ”
“เชิญทุกคนเลยค่ะ เจ้าแฝดด้วย”
“พี่ไม่มีปัญหานะ แต่ลองถามเจ้าแฝดก่อน เผื่อพวกเขาไม่อยากไป”
“เฟิร์นก็ว่าจะรอถามเด็กๆพรุ่งนี้เช้านี่แหละค่ะ”
“ดีแล้ว ให้สิทธิ์พวกเขาได้ตัดสินใจเอง ถึงยังไงพวกเขาก็โตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้ว”
“ค่ะ”
หญิงสาวนั่งดื่มอยู่กับสามีหนุ่มอีกสักพักใหญ่ ร่างบอบบางก็ลอยขึ้นจากโซฟา เมื่ออยู่ๆ เธอก็ถูกอุ้มขึ้นมานั่งคร่อมบนตักเขา กระโปรงชุดนอนตัวสวยขึ้นมากองอยู่บนต้นขาขาว พร้อมกับที่ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ต้นขาเธอเบาๆ
และไม่ต้องบอกอะไร หญิงสาวรู้ใจสามีหนุ่มเป็นอย่างดี เธอยกตัวขึ้นก่อนจะนั่งลงไปอีกครั้งโดยที่ไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆทั้งสิ้น มือใหญ่ฟาดแรงๆลงบนบั้นท้ายกลมจนหญิงสาวร้องครางอย่างกลั้นไม่ไหว
“ร้อนเร็วดีจัง”
“ไม่ได้สิคะ เดี๋ยวไม่ทันใจ”
“กี่ชั่วโมงดีวันนี้”
“ตามใจค่ะ พรุ่งนี้เฟิร์นไม่มีงาน”
“ถ้าถึงเช้าอย่าว่ากันนะ”
“อย่าให้พังก็พอค่ะ”
สะโพกผายสวยขยับเบาๆยั่วสามีหนุ่มระหว่างที่พูดคุยกัน เธอจึงโดนทำโทษด้วยการกัดเข้าที่ก้อนเนื้อกลมสวยรุนแรงจนถึงกับสะดุ้ง
“ไม่ออมมือนะ”
“ไม่ได้บอกให้ออมมือนี่คะ”
ไม่นาน ทั้งห้องก็ร้อนระอุ ไม่ว่าจะที่โซฟา ในห้องน้ำ หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัว ที่พื้น หรือแม้แต่ริมกระจกหน้าระเบียงพวกเขาก็ไม่เว้น จนปิดท้ายที่เตียงนอนก็เป็นเวลาเกือบรุ่งสางพอดี
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อ”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะสาวน้อย พี่ฟิล์มล่ะคะ”
“กำลังลงมาค่ะ เฟย์แต่งตัวเสร็จก่อนเลยลงมาก่อน วันนี้คิวเฟย์ใช้ห้องน้ำก่อนค่ะ”
“จ้ะ”
“คุณแม่ล่ะคะ”
“ยังไม่ตื่นค่ะ เมื่อคืนคุณแม่ทำงานจนเกือบเช้าเลยตื่นสายค่ะ อย่าไปรบกวนคุณแม่นะคะ” น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลพูดกับบุตรสาว
“ได้ค่ะ เฟย์จะไม่รบกวนคุณแม่ค่ะ”
“ดีมากค่ะ งั้นเดี๋ยวเราไปรอพี่ฟิล์มที่ห้องทานข้าวนะคะ”
“ค่ะ”
มือใหญ่อบอุ่นจับจูงมือบุตรสาวเดินไปยังห้องรับประทานอาหารเพื่อรอแฝดผู้พี่ลงมาจากข้างบน เมื่อเด็กชายตัวน้อยลงมา พวกเขาก็ลงมือรับประทานอาหารเช้าโดยมีพี่เลี้ยงช่วยดูแลเด็กน้อยทั้งสองอยู่ข้างๆ
ในช่วงสายของวัน หลังจากที่หทัยชนกตื่นก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำไปทั้งร่างเปลือย เพราะถึงอย่างไรห้องนี้จะไม่มีใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต และเธอมั่นใจว่าวชิรวิษไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมาบนชั้นสองแน่นอน จนกระทั่งออกมาจากห้องน้ำ ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องทำงานพอดี
“ตื่นแล้วเหรอคะ”
“ตื่นแล้วค่ะ”
“เป็นยังไงบ้าง”
“ระบมทั้งตัวเลยค่ะ”
“โทษทีจ้ะ” ชายหนุ่มขอโทษด้วยความรู้สึกผิด เพราะบางครั้งเขาก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้
“เล็กน้อยมากค่ะ เดี๋ยวเราลงไปข้างล่างกันนะคะ เฟิร์นจะคุยกับลูก”
“โอเคจ้ะ ไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวจะไม่ได้ลงไปอีก”
หทัยชนกค้อนใส่สามีไปหนึ่งทีก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วกลับออกมาอีกครั้งด้วยชุดเดรสกระโปรงสบายๆสำหรับใส่อยู่บ้าน ก่อนจะพากันเดินออกจากห้องนอนไป
หลังจากที่ลงมาข้างล่าง วชิรวิษเป็นคนดูแลเด็กๆ เพื่อรอให้หทัยชนกกินข้าวเสร็จแล้วมาพูดคุยกัน
“เอาล่ะค่ะ วันนี้คุณแม่มีอะไรจะถามค่ะ มีคุณลุงคุณป้าเชิญครอบครัวเราไปออกงาน ทั้งคุณพ่อคุณแม่แล้วก็เด็กๆ ด้วย สนใจไปไหมคะ”
“ไปครับ/ค่ะ”
“โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวเรื่องเสื้อผ้า คุณแม่จัดการเตรียมให้นะคะ เราต้องไปออกงานวันมะรืนนี้ค่ะ”
“ครับ/ค่ะ”
หลังจากสองแฝดขานรับก็ขอตัวออกไปวิ่งเล่น สองสามีภรรยามองตามก่อนจะยิ้มให้กัน การที่ในบ้านมีเด็กๆ ก็ทำให้บ้านน่าอยู่เพิ่มขึ้นอีก มันมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม
“แล้วจะหาเสื้อผ้าทันเหรอ”
“พี่ฝนบอกว่าสปอนเซอร์จัดการให้ค่ะ ทั้งเสื้อผ้าเราและเสื้อผ้าเด็กๆ เลย”
“โอเคจ้ะ”
2 วันต่อมา
“ปกติเฟิร์นจะไปแต่งตัวที่งานเลย วันนี้เราไปกันหมดเลย 4 คน เพราะฉะนั้นเราจะต้องแต่งตัวไปจากที่นี่เลย แล้วค่อยไปจัดแต่งชุดที่งานอีกที”
หญิงสาวอธิบายหลังจากที่พวกเขาต้องพากันมาที่บ้านของเธอ เพื่อแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าไปจากที่นี่เลย การที่มาที่บ้านของเธอก็เพราะว่าที่นี่มีห้องที่เธอทำเอาไว้สำหรับแต่งหน้าทำผม มีเครื่องสำอางและข้าวของเครื่องใช้พร้อมกว่าการที่ช่างจะต้องมาขนจากบ้านเธอและไปที่บ้านของวชิรวิษอีกที
หลังจากทุกคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ทยอยแต่งหน้าทำผม โดยที่วชิรวิษเป็นคนเสร็จคนแรกเพื่อที่จะได้มาช่วยอนุชิตกับพี่เลี้ยงดูแลเด็กๆ และหทัยชนกก็เสร็จเป็นคนต่อมาเพื่อที่จะจัดการเด็กๆ เสร็จแล้วก็ออกเดินทางได้เลย
ไม่นานพวกเขาก็พร้อมสำหรับการไปออกงานร่วมกันครั้งแรก หญิงสาวสำรวจความเรียบร้อยของทุกคนก่อนที่จะพากันขึ้นรถเพื่อออกเดินทาง
“คุณแม่จะไม่บอกว่าหนูต้องทำยังไงนะคะ แม่อยากให้พวกหนูใช้การมอง การสังเกต และสิ่งที่หนูเห็นสมควร ว่าเวลาที่ได้เห็นผู้คนเยอะๆ หรือมีกล้องมีผู้ใหญ่ล้อมตัวเราอยู่มากมาย เราควรจะทำยังไง”
หญิงสาวพูดคุยกับเด็กๆ เพื่อลดความตื่นเต้นให้ เพราะการที่พวกเขาต้องไปเจอผู้คนเยอะๆ กับกล้องที่มาถ่ายพวกเขา อาจจะทำให้พวกเขาตื่นกลัวได้
“เอาล่ะค่ะ มาถึงแล้ว เด็กๆอย่าเดินไปไหนนะคะ อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ตลอดนะ”
เมื่อมาถึงที่หน้างาน วชิรวิษพาคู่แฝดลงจากรถก่อน ตามด้วยหทัยชนกที่ก้าวตามลงมาปิดท้าย ทีมงานช่วยพาพวกเขาไปที่ฉากหน้างานสำหรับถ่ายรูปและให้สัมภาษณ์
“สวัสดีครับ/ค่ะ” สองแฝดยกมือขึ้นไหว้ตามบิดามารดาเมื่อเห็นว่ามีผู้คนเยอะแยะแล้วบิดามารดาของตนยกมือไหว้
“วันนี้เตรียมพร้อมยังไงบ้างคะ สำหรับการพาน้องแฝดมาออกงานครั้งแรก” เสียงวี้ดว้ายดังขึ้นด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะเริ่มมีการสัมภาษณ์เกิดขึ้น
“สัมภาษณ์น้องได้ใช่ไหมคะ”
“ได้ค่ะ”
“สวัสดีค่ะ ชื่ออะไรกันบ้างคะ”
“ฟิล์มครับ”
“เฟย์ค่ะ”
“วันนี้ตื่นเต้นไหมคะ มาออกงานพร้อมคุณพ่อคุณแม่”
“ไม่ตื่นเต้นเลยครับ คุณแม่บอกให้พูดเหมือนปกติครับ”
“เฟย์ก็ไม่ตื่นเต้นค่ะ”
“แล้ววันนี้คุณแม่สวยไหมคะ”
“คุณแม่สวยทุกวันเลยค่ะ”
“คุณพ่อก็หล่อทุกวันด้วยครับ”
เสียงวี้ดว้ายชอบใจดังขึ้น จากบรรดาผู้สัมภาษณ์ เมื่อเด็กทั้งสองตอบคำถามอย่างชาญฉลาด
การสัมภาษณ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ก่อนที่หทัยชนกจะขอตัวเข้าไปภายในงาน จนกระทั่งจบงาน พวกเขาก็ออกมาให้ถ่ายรูปและสัมภาษณ์อีกครั้งก่อนจะกลับบ้านไปพร้อมกับความภูมิใจกับการออกงานครั้งแรกของเด็กๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พี่เลี้ยงก็มารับตัวเด็กๆ และพากลับขึ้นห้องไปเพราะพวกเขาหลับมาบนรถ ส่วนวชิรวิษกับหทัยชนกเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะพากันออกไปหาอะไรกินข้างนอกสองคน
“จองไว้เมื่อไหร่คะเนี่ย”
“หลายวันแล้วจ้ะ เฟิร์นอาจจะลืม แต่พี่ไม่ลืมนะ วันนี้วันครบรอบจดทะเบียนนะ”
“จริงด้วยค่ะ มัวแต่ยุ่งๆ ลืมสนิท”
หญิงสาวยอมรับอย่างไม่ปิดบัง พวกวันสำคัญส่วนใหญ่เธอจะไม่ค่อยจำ แต่วชิรวิษเป็นคนละเอียดอ่อนมากกว่า เขาจะจำวันที่เป็นเหตุการณ์สำคัญของเขาและเธอได้หมด
“ประจำแหละจ้ะ” ชายหนุ่มยิ้มด้วยความเอ็นดู
ทั้งสองคนพูดคุยกันระหว่างมื้ออาหารไปเรื่อยๆ ชีวิตพวกเขาไม่ได้หวือหวาอะไร ติดจะเรียบง่ายด้วยซ้ำ เพียงแต่คนอื่นจะมองว่าพวกเขาเป็นแบบนั้น ทั้งที่จริงแล้วพวกเขาค่อนข้างจะมีระเบียบในการใช้ชีวิตมากกว่าคนทั่วไปเสียด้วยซ้ำ
“ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้”
“ใช่ ตอนนั้นเฟิร์นยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย”
“ก็เราเจอกันครั้งแรกตอนเฟิร์น 10 ขวบเองนะคะ”
“แต่รู้ไหมว่าพี่ชื่นชมเฟิร์นตั้งแต่ตอนนั้น เด็กน้อยที่ทำงานและเป็นหลักให้ครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก สร้างทุกอย่างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เฟิร์นเก่งจนพี่ปล่อยให้เฟิร์นออกจากความคิดของพี่ไม่ได้”
“แล้วเริ่มคิดที่จะรอเฟิร์นตั้งแต่ตอนไหนคะ”
“จำที่พี่ถามได้ไหม ว่าเฟิร์นอายุเท่าไหร่”
“จำได้ค่ะ”
“นั่นแหละ ตอนนั้นเฟิร์นอายุ 15 กำลังเป็นวัยรุ่นเลย หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มติดต่อกับเฟิร์นมาตลอด เพื่อจะคอยเช็กว่าเฟิร์นมีใครไหม แต่โชคดีของพี่ที่เฟิร์นตั้งใจทำงานจนไม่มีเวลาสนใจใครเลย”
หญิงสาวนั่งฟังเขาเล่าให้เธอฟังอย่างตั้งใจ บางเรื่องเขาเคยเล่าให้เธอฟังหลายครั้ง แต่หลายเรื่องก็ยังไม่เคยฟัง เวลาที่เขาเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เธอฟังเขาดูภูมิใจกับสิ่งเหล่านี้จนเธอก็พลอยยิ้มไปกับเขาด้วย
“พี่เอาตัวเองให้เข้าไปอยู่ในความคิดของเฟิร์น ใช้เวลาไปเรื่อยๆ เพื่อให้เฟิร์นเคยชินกับการที่มีพี่คอยทักไปหา ทักไปพูดคุยด้วยทุกวัน จนวันที่เฟิร์นเริ่มโตพี่ถึงเริ่มเข้าหาเฟิร์นมากขึ้น พี่รอจนเฟิร์นเรียนจบ พี่ถึงตั้งใจเริ่มต้นทุกอย่าง เริ่มต้นในวันที่เวลาเหมาะสม”
“ตั้งใจเหรอคะ?”
“ใช่จ้ะ ตั้งใจที่จะรอ ตั้งใจที่จะรัก”
“นานนะคะ ตั้งหลายปี”
“12 ปี”
“ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่รอขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ก็เพราะตั้งใจไงคะ ไม่อย่างนั้นพี่ก็คงไม่ได้มีวันนี้ วันที่มีเฟิร์น มีเจ้าแฝดเป็นครอบครัวของพี่”
“ขอบคุณนะคะที่รอเฟิร์น”
“พี่ก็ขอบคุณที่เฟิร์นไม่เลือกใครไปก่อนที่พี่จะเริ่มต้นเหมือนกัน”
“เฟิร์นไม่มีคนอื่นอยู่ในความคิดเลยค่ะ ไม่เคยมีด้วยซ้ำ”
“รอพี่สินะ”
“แหม หลงตัวเองจังเลยค่ะ”
วชิรวิษหัวเราะชอบใจเมื่อภรรยาสาวพูดแซวเขา ทั้งสองคนยิ้มให้กันก่อนจะดินเนอร์กันต่อท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกในห้องสูทสุดหรูราวกับเป็นการมาฮันนีมูนของพวกเขานั่นเอง