สริตายืนอยู่เพียงลำพังหน้าโลงศพไม้สองใบที่วางอยู่คู่กันก่อน หัวใจของเธอเจ็บแปลบ แม้จะผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วหากความเจ็บปวดของเธอไม่ได้เบาบางลงแม้แต่น้อย แต่เธอก็ดีกว่าตอนวันแรกมากนักเนื่องจากเธอเจ็บเสียจนชาไปแล้วกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
หญิงสาวก้มหน้า ไม่สนใจผู้คนรอบกาย เธอไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้แม้แต่น้อย พวกเขาส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชื่อดังและบางคนเป็นนักการเมืองซึ่งรู้จักกับครอบครัวของเธอเป็นอย่างดี ทว่าเป็นความรู้จักที่ทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่อย่างเธอไม่ได้คุ้นเคยกับพวกเขาแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยสนใจกับกิจการของครอบครัวเลย เธอออกงานสังคมน้อยมากเพราะไปงานพวกนั้นเท่าที่จำเป็นต้องไปและค่อนข้างเก็บตัวผิดกับลูกสาวมหาเศรษฐีทั่วไป เธอจึงไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่ากับช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา และพวกสื่อช่วงนี้ต่างเรียกเธอว่าเป็น ‘สาวน้อยที่น่าสงสารที่สุดในแมนฮัตตัน’ ซึ่งอันที่จริงบางครั้งพวกเขาเรียกเธอลับหลังว่าเป็น ‘สาวน้อยผู้โชคดีที่สุดในแมนฮัตตัน’ มากกว่า
สมบัติมหาศาลของตระกูลพาวเวลล์ตกเป็นของเธอทั้งหมด ได้แก่บริษัทอาหารแช่แข็งซึ่งเป็นกิจการหลักของตระกูลและภัตตาคารหรู รวมถึงหุ้นในธุรกิจร้านพีพีโดนัทซึ่งมีมากมายเกือบหนึ่งแสนสาขาทั่วโลกก็ตกเป็นของเธอเพียงคนเดียว
ซึ่งบางครั้งเธอก็ไม่ได้อยากโชคดีแบบนั้นเลย เธออยากได้พ่อกับพี่ชายกลับคืนมา
ทว่าปาฏิหาริย์ของเธอไม่มีจริง หลังจากการค้นหาไม่หยุดหย่อนถึงเจ็ดสิบสองชั่วโมงก็ไม่สามารถค้นพบร่างของ คริสเตียนเลย และการรอคอยอีกนานหลายสัปดาห์หลังจากนั้นก็ทำให้ตำรวจสรุปไปในที่สุดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อคดีสิ้นสุดลง สริตาก็พอจะรับรู้แล้วว่าเธอสูญเสียทุกคนในครอบครัวไปหมดแล้วจริงๆ และไม่มีความหวังว่าจะมีใครสักคนรอดอีกต่อไป แอชตันมาถามเธอเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะจัดการกับศพของบิดาอย่างไร หญิงสาวจึงให้เขาจัดการได้ตามสะดวก
แค่เธอต้องลากตัวเองมางานนี้ ก็เป็นความเจ็บปวดในทุกย่างก้าวมากพอแล้ว
หญิงสาวมองโลงศพอีกครั้ง โลงหนึ่งมีศพของบิดาอยู่ อีกโลงเป็นโลงเปล่านั้นเป็นของพี่ชาย หญิงสาวเบือนหน้าหนีเพราะทนมองไม่ได้อีกต่อไป เธอรู้สึกปวดมวนในท้องขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ความเจ็บปวดที่เหมือนมีดแหลมๆ ที่เสียบเข้ากับชายโครงของเธอก็กลับมาอีกหน ทว่าเพียงแค่เธอถอยห่างออกไปยืนอยู่มุมหนึ่งเท่านั้น ก็มีคนเข้ามาทำลายความสงบของเธอเข้าจนได้
‘คาร์ล ดาร์ลิงตัน’ เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขาเป็นลูกติดทางฝั่งภรรยาของคุณลุงซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของเธอ หญิงสาวคุ้นเคยกับเขาอยู่บ้างแม้จะไม่ได้พบกันบ่อยนักในช่วงปีหลังๆ นี้ก็ตาม
“พี่เสียใจด้วยนะซี”
อีกฝ่ายบอกกับเธอด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแสดงออกถึงความเสียใจ คาร์ลเป็นชายรูปร่างผอมสูง เขามีผมสีอ่อนและดวงตาสีฟ้า ชุดสูทสีเข้มที่สวมทำให้เขาดูดีขึ้นมาบ้างบวกกับบุคลิกท่าทางทำให้คาร์ลเป็นที่สนใจของผู้หญิงมากพอสมควร รวมถึงนามสกุลดาร์ลิงตันของเขาที่เป็นสถาบันการเงินชั้นนำระดับประเทศด้วย
“ขอบคุณค่ะพี่คาร์ล”
เธอหันไปตอบเขาเสียงสั่นเครือ ความรู้สึกสะเทือนใจที่คิดว่าดีขึ้นบ้างกลับไม่ได้จางหายไปแม้แต่น้อย เมื่อถูกกระตุ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะอย่างนี้เธอถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดกับใครก็ตามที่จะเข้ามาแสดงความเสียใจกับเธอ
“เธอยังมีพวกเราอยู่นะ” คาร์ลยื่นมือมาบีบไหล่เธอ “ยังไงเราก็ยินดีช่วยเหลือเธอเสมอ” สีหน้าและท่าทางของเขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาบ้าง หญิงสาวฝืนยิ้มส่งให้คนที่เธอนับถือเป็นพี่ชายอีกคนขณะพึมพำตอบเขาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะพี่คาร์ล”
คาร์ลพยักหน้าให้เธอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถาม
“แล้วตอนนี้หาตัวคริสเตียนเจอไหม”
แม้คริสเตียนจะถูกประกาศแล้วว่าเป็นผู้เสียชีวิตไปแล้ว ทว่ามีไม่กี่คนที่รู้ว่าทุกวันนี้ยังคงมีการตามหาร่างของคริสเตียนอยู่ แม้ความหวังว่าเขาจะมีชีวิตอยู่นั้นจะลดน้อยจนเกือบจะเข้าใกล้ศูนย์ก็ตามที
“ไม่เจอเลยค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า น้ำตาคลอหน่วยด้วยความสะเทือนใจ “ฉัน...ฉันยังทำใจไม่ได้เลย”
คราวนี้คาร์ล ดาร์ลิงตันดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากอดแน่นๆ พลางให้กำลังใจ “พี่อยากให้เธอมองในแง่ดีไว้ คริสเตียนอาจจะมีชีวิตรอด”
“อย่าเลย” หญิงสาวปฏิเสธเสียงอู้อี้ขณะซับน้ำตา “ฉันอยู่กับความเป็นจริง ฉันขอแค่ได้เจอเขา ต่อให้ไม่มีชีวิตก็ต้องเจอ...ร่างของเขา” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างยากลำบาก แต่เธอโตพอแล้วที่จะต้องยอมรับความจริง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดมากและยากจะทำใจยอมรับได้ก็ตามที
คาร์ลเห็นท่าทีมุ่งมั่นอย่างนั้นของเธอก็ได้แต่รับคำในลำคออย่างแผ่วเบา “อืม...” ก่อนที่เธอจะดันร่างออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วบอกกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นมากว่าเดิมว่า
“พี่ไปเถอะค่ะ ฉันอยากอยู่ตรงนี้อีกพักหนึ่ง”
เธอบอกกับเขาเกือบกึ่งจะเป็นอ้อนวอนเมื่อคาร์ลทำท่าว่าจะอยู่เป็นเพื่อนของเธอ ซึ่งพอเธอเอ่ยปากอย่างนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับแล้วยอมทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพังในที่สุด
“ได้” เขาตอบรับคำขอของเธอ “งั้นเดี๋ยวค่อยเจอกันนะ” ชายหนุ่มบีบไหล่เล็กของเธออีกครั้งแล้วจึงเดินจากไป ทิ้งให้สริตาอยู่ตามลำพังอย่างที่เธอต้องการ