ตอนที่ 3
เมื่อเห็นชัชชนน์เดินกลับมาพร้อมกับกระเป๋าของเธอ หญิงสาวก็แทบกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไว้ไม่อยู่ ชัชชนน์ยื่นกระเป๋าคืนให้เธอโดยไม่พูดอะไร ดวงตาคมกริบของเขายังคงฉายแววเย็นชา แต่ลึกๆ แล้วกลับมีความพึงพอใจเล็กน้อยที่ได้ช่วยเหลือหญิงสาวคนนี้
“คุณเป็นคนไทยใช่ไหมคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด สำเนียงภาษาของเขาทำให้เธอเดาได้ไม่ยากว่าเขาต้องเป็นคนไทยที่กำลังฝึกพูดภาษาอิตาเลี่ยน ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบระยับเพื่อรอคำตอบ ราวกับพบเจอญาติสนิทในแดนไกล
ชัชชนน์ ชะงักไปเล็กน้อยกับคำทักทายเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำของสาวลูกครึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองเธออย่างระมัดระวัง แต่ก็คลายความแข็งกระด้างลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินภาษาที่คุ้นเคย
“ฉันก็คนไทยค่ะ!” สาวลูกครึ่งผมดำขลับ อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างแท้จริง รอยยิ้มหวานพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย ราวกับดอกไม้แรกแย้มที่เบ่งบานรับแสงตะวัน
“ดีใจจังเลยค่ะ...ที่เจอคนไทยที่นี่” ร่างอรชรยืนสง่าก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจและความยินดี ความรู้สึกหวาดหวั่นที่เกาะกุมหัวใจเมื่อครู่ พลันจางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“คุณมาเรียนหรือว่ามาทำงานคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามต่อด้วยความใคร่รู้ ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าคมคายของชายหนุ่มอย่างคาดหวัง ว่าคำถามนี้จะสามารถงัดคำพูดเพิ่มเติมจากปากของคนไทยมาดขรึมตรงหน้าได้บ้าง
“ผมมาทำงานครับ” ชัชชนน์ ตอบสั้นๆ น้ำเสียงยังคงราบเรียบ แต่ก็มีความจริงจังแฝงอยู่
“เอ่อ..ขอโทษนะคะ แล้วคุณทำงานอะไร?” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างเกรงใจ พลางชะลอจังหวะคำพูดลงเล็กน้อย ด้วยความคุ้นเคยกับนิสัยของคนไทยที่อาจถือเรื่องส่วนตัว เธอไม่อยากให้คำถามนี้ดูเป็นการล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของเขามากจนเกินไป ทว่าในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่าคงปล่อยให้ชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์ดึงดูดคนนี้เดินจากไปเฉยๆ โดยไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยไม่ได้ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดให้เธออยากทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น
“ผมกำลังติดต่อผู้จ้างงานอยู่ครับ แต่ว่ายังติดต่อไม่ได้เลย” ชัชชนน์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือความกังวลเล็กน้อย ดวงตาคมกริบฉายแววครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด
“ตายจริง!” เธออุทานด้วยความเห็นใจ ใบหน้าสวยแสดงความเป็นห่วงและเป็นกังวลเล็กน้อย ก่อนที่เสียงหวานจะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความเห็นใจ
“แย่จังเลยนะคะ”
“เอางี้มั้ย คุณเรียนจบอะไรมาคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นทันทีที่ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับด้วยความหวัง
“ผมจบวิศวะครับ วิศวะโยธา” ชัชชนน์ตอบ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาวลูกครึ่งอย่างสนใจ
“งั้นดีเลยค่ะ!” เธอร้องออกมาด้วยความยินดีอย่างแท้จริง
”ที่บริษัทคุณพ่อของฉัน เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง งานนี้น่าจะเหมาะกับคุณ” รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าสวยของเธออย่างเต็มที่
“นี่ค่ะ นามบัตร ถ้าคุณสนใจก็ติดต่อมาได้เลยนะคะ” มือเรียวบางพลางยื่นนามบัตรสีขาวสะอาดให้ชัชชนน์ด้วยความหวังดี
ชายหนุ่มรับนามบัตรมาพิจารณาอย่างละเอียด ดวงตาคมกริบไล่อ่านตัวอักษรอย่างช้าๆ เมื่อเห็นชื่อของลูเซียโน และตำแหน่งที่ระบุไว้ในนามบัตร แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีประกายบางอย่างที่ยากจะอ่านออกฉายขึ้นมา ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหยักยกขึ้นเล็กน้อยอย่างมีเลศนัย แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ คุณเก่งจัง?” หญิงสาวลูกครึ่งเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม เธอมองใบหน้าหล่อเหลาของชัชชนน์ด้วยความหลงใหล ความรู้สึกประทับใจแรกพบแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกซาบซึ้งและชื่นชมอย่างสุดหัวใจ
“คุณระวังตัวด้วยนะครับ แถวนี้วัยรุ่นติดยาอยู่กันเยอะ” เขาบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ทันใดนั้น! เสียงหวานก็เอ่ยขึ้นตามหลัง
“เดี๋ยวค่ะ!” หญิงสาวรีบร้องเรียกเขาเอาไว้
“คุณพอจะมีเวลาสักครู่ไหมคะ?” เสียงหวานรีบเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปจากสายตา เธอไม่อาจปล่อยให้ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพบุตรคนนี้เดินจากไปเฉยๆ ได้ หัวใจดวงน้อยๆ เต้นระรัวด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอเองก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ทว่าสัญชาตญาณบอกเธอว่า เธอต้องรู้จักเขาให้มากกว่านี้ และความปรารถนาเล็กๆ ในใจก็หวังว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดี
ชัชชนน์หันกลับมามองเธอด้วยแววตาที่ยังคงเรียบเฉยตามมารยาท สาวสวยลูกครึ่งผิวขาวจัดราวกับหิมะ พาชัชชนน์ไปยังร้านกาแฟหรูที่อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟคั่วบดใหม่คลอเคล้าไปกับกลิ่นหอมหวานของขนมที่เพิ่งอบใหม่ ๆ สร้างบรรยากาศได้โรแมนติกไม่น้อย
เธอสั่งเครื่องดื่มสำหรับสองคนและเดินกลับมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะมานั่งลงตรงหน้าชายหนุ่มแล้วจ้องมองใบหน้าคมคายของเขาอย่างเปิดเผย ดวงตากลมโตเป็นประกายชื่นชมในความช่วยเหลือและความมาดมั่นของชายหนุ่ม ไม่นานเสียงหวานใสก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบนั้น
“ฉันชื่อเมญาดาค่ะ เรียกว่าญาดา ก็ได้” เธอแนะนำตัวอย่างเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มหวาน
“ผมชัชชนน์ครับ” เขาตอบสั้นๆ โดยไม่มีรอยยิ้มตอบกลับ
“ขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะคุณชัชชนน์ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันต้องแย่แน่ๆ เลย” เมญาดากล่าวด้วยความจริงใจ
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ผ่านมาเห็นคุณเข้าพอดี” ชัชชนน์ ตอบเรียบๆ ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบๆ ร้านกาแฟอย่างสังเกตการณ์ ราวกับกำลังประเมินสถานการณ์โดยรอบ
ทันใดนั้นเอง! ความสงบเงียบในร้านกาแฟก็ถูกทำลายลง เมื่อสายตาคมกริบของชัชชนน์สังเกตเห็นรถตู้สีดำทมึนคันหนึ่ง ติดฟิล์มกรองแสงดำสนิท แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าร้านอาหารอย่างรวดเร็ว ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ประตูรถเปิดออกแทบจะทันที พร้อมกับการปรากฏตัวของชายในชุดสูทที่รีบร้อนก้าวลงจากรถ ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำสนิทอีกหลายคน ทุกคนแต่งกายคล้ายกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่พร้อมปฏิบัติภารกิจ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะก้าวเท้าตรงเข้ามายังโต๊ะที่ชัชชนน์นั่งอยู่
“คุณญาดาครับ นายท่านเป็นห่วงคุณมากครับ ไม่คิดว่าคุณจะหนีออกมาเที่ยวคนเดียวแบบนี้” หนึ่งในชายชุดสูทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น เมญาดาถอนหายใจเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยฉายแววเบื่อหน่ายออกมาทันที
“บอกคุณพ่อด้วย ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเที่ยวเบื่อฉันก็กลับเองแหละ” เธอบอกกับหัวหน้าลูกน้องเสร็จก็รีบโบกมือไล่พวกที่เหลืออย่างไม่ใส่ใจ
“พวกคุณกลับไปได้แล้ว ฉันกำลังคุยธุระอยู่” ชายใส่สูทมองหน้าชัชชนน์ราวกับประเมิณสถานการณ์ ก่อนจะโค้งศีรษะให้เธออย่างนอบน้อมและเดินกลับไปรอยังรถตู้ตามเดิม
ชัชชนน์ สังเกตการณ์ทุกอย่างด้วยความเงียบสงบ จากลักษณะท่าทางและการเรียกขาน เขาเดาได้ไม่ยากว่าชายกลุ่มนั้นคงเป็นลูกน้องของบิดาเธอ มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลที่ลูกสาวแสนสวยดูจะไม่ค่อยอยากอยู่ภายใต้การดูแลสักเท่าไหร่
บทสนทนาของทั้งสองดำเนินไปอย่างราบรื่น เมญาดาเล่าถึงความสนุกสนานของการที่แอบคุณพ่อของเธอมาเดินเดียว เพื่อดูบรรยากาศคึกคักบนถนนคนเดินในปอร์ตาให้ชัชชนน์ฟังอย่างออกรสออกชาติ เสียงหวานเจื้อยแจ้วเล่าถึงของขึ้นชื่อในเมืองนี้ รวมถึงอาหารริมทางที่น่าลิ้มลอง ส่วนชัชชนน์กลับเป็นผู้ฟังที่ดี และตอบคำถามของเธอน้อยมาก
ทว่าในความเงียบขรึมนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความสนใจอย่างเงียบๆ เมญาดาเองก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการที่เขาพูดน้อย แต่เธอกลับรู้สึกถึงเสน่ห์แห่งความลึกลับที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ท่าทีเย็นชานั้น
ไม่นานนัก โทรศัพท์ในกระเป๋าของเมญาดาก็ดังขึ้น เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยของบิดาดังลอดออกมาตามสาย สั่งให้เธอกลับบ้านทันทีด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นห่วง เมญาดาถอนหายใจเล็กน้อยอย่างขัดใจก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอแล้วมีหนุ่มไทยมาช่วยเอาไว้ เมื่อเธอคุยสายกับผู้เป็นบิดาสิ้นสุดลง หญิงสาวก็หันมาชวนชัชชนน์ด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหวัง
“คุณชัชคะ ไปพบคุณพ่อของญาดาที่บ้านด้วยกันไหมคะ?” ชัชชนน์ เลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบเปล่งประกายแห่งความหวังออกมาเพียงแค่วูบเดียว เขาเห็นโอกาสบางอย่างซ่อนอยู่ในคำเชิญนั้น จึงตอบรับอย่างไม่ลังเล
“ยินดีครับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม เมญาดาไม่คิดว่าเขาจะยอมไปกับเธอง่าย ๆ แต่เธอก็ดีใจเหลือเกินที่เขาตอบตกลง
จากนั้น ทั้งสองคนก็เดินออกจากร้านกาแฟ ไปขึ้นรถตู้คันเดิมที่มารับเมญาดา โดยมีชัชชนน์นั่งเคียงข้างเธอ ความเงียบปกคลุมภายในรถ แต่กลับเป็นความเงียบที่ไม่ได้อึดอัด หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ระหว่างทั้งสอง