ตอนที่ 7
กำแพงที่อยู่ในใจ
ในคืนหนึ่งหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายของร้านพลอยหลานน้าอัมพรเดินจากไปและน้าอัมพรก็กลับบ้านไปแล้ว พิมพ์พลอยจัดการปิดประตูร้านก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ตัวเล็กๆ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานตลอดทั้งวันทำให้พิงไปบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรที่ดังมาจากพงหญ้านอกร้าน
พิมพ์พลอยหยิบมือถือเครื่องเก่าขึ้นมาเปิดเธอเลื่อนดูรูปภาพในแกลเลอรีไปเรื่อยๆ ภาพแล้วภาพเล่าฉายวนเวียนอยู่ในหน้าจอ ก่อนที่นิ้วเรียวจะหยุดชะงักลงที่รูปภาพใบหนึ่ง
มันเป็นรูปที่เธอกับชลวิทย์ยืนกอดกันแน่นบนชายหาดแห่งหนึ่งในวันหยุดพักร้อน ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แววตาของพิมพ์พลอยในรูปนั้นเต็มไปด้วยความรักและความสดใสที่เธอแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยมีมัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันก็คืออดีตไปแล้ว
น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาจนภาพในหน้าจอพร่าเบลอไปหมด พิมพ์พลอยใช้นิ้วลูบไปบนหน้าจอที่มีรูปถ่ายของชลวิทย์เบาๆ ความทรงจำเก่าๆ ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง
“พลอยพี่รักพลอยที่สุดเลยนะ” เสียงของชลวิทย์ดังแว่วอยู่ในห้วงความคิด พร้อมกับภาพในวันที่เขาคุกเข่าขอเธอแต่งงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งอีกทั้งคำมั่นสัญญาที่ว่าจะรักและดูแลเธอไปตลอดชีวิต
พิมพ์พลอยหลับตาลงและพยายามขับไล่ภาพความทรงจำเหล่านั้นออกไปแต่มันกลับยิ่งฉายชัดเจนขึ้น มีภาพของกัญญาวีร์เพื่อนสนิททับซ้อนเข้ามา
เธอนึกย้อนไปในวันหนึ่งที่ออกมานั่งร้านกาแฟกับเพื่อนรัก แล้วก็คิดว่าเป็นตัวเธอที่โง่มากจนมองไม่ออกว่ากัญญาวีร์กำลังสื่อถึงเรื่องอะไร
‘พลอย ถ้าวันหนึ่งฉันทำเรื่องที่ไม่ดี แต่เรื่องนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจทำแกจะยกโทษให้ฉันไหม’ กัญญาวีร์ถามขณะที่เธอกับพิมพ์พลอยนั่งอยู่ในร้านกาแฟในบ่ายวันอาทิตย์
‘แกบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแล้วฉันจะโกรธแกได้ยังไงล่ะ เราเป็นเพื่อนรักกันนะ ฉันจะโกรธเพื่อนรักได้ยังไงล่ะ’
‘ขอบใจนะพลอย’
“โกหกทั้งหมด มันคือการโกหก” พิมพ์พลอยพึมพำกับตัวเอง ความผิดหวังในตัวกัญญาวีร์มีมากกว่าชลวิทย์ที่เป็นคนรักและมันสาหัสเกินกว่าจะให้อภัยได้ ความรู้สึกถูกหักหลังจากเพื่อนสนิทนั้นรุนแรงกว่าหลายเท่าเพราะมันทำลายความเชื่อใจที่เธอมีต่อผู้คนไปจนหมดสิ้น
พิมพ์พลอยเลื่อนรูปไปจนถึงรูปเธอกับกัญญาวีร์ถ่ายคู่กันในวันรับปริญญาของเธอ ทั้งสองคนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แววตาเต็มไปด้วยมิตรภาพ ความรักและความผูกพันที่แน่นแฟ้น
“แกทำกับฉันได้ยังไงการ์ตูน แกเป็นเพื่อนสนิทของฉันนะ...” น้ำตาหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์หัวใจของเธอปวดร้าวราวกับถูกบีบขยี้จนแหลกละเอียด
ระหว่างที่จมอยู่กับความเศร้าเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พิมพ์พลอยสะดุ้งเล็กน้อย เธอมองหน้าจอที่แสดงชื่อศิริขวัญ เพื่อนสนิทอีกคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะบริษัทอยู่ค่อนข้างไกลกัน หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
“สวัสดีขวัญ” พิมพ์พลอยรับสายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูสดใสมากที่สุด
“พลอย แกเป็นไงบ้าง ฉันโทรหาตั้งหลายครั้งไม่รับเลย นี่ฉันเป็นห่วงแทบแย่แล้วนะ" เสียงของศิริขวัญดังตามสาย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย เธอพยายามติดต่อพิมพ์พลอยมาตลอดเกือบหนึ่งเดือนแต่แล้วความพยายามก็ได้ผล
“ฉันสบายดีแล้วแกล่ะขวัญ”
“สบายดีแน่นะ แล้วทำไมไม่ติดต่อมาบ้างเลยล่ะ ฉันได้ยินเรื่องมาแล้วนะ แกโอเคหรือเปล่า” ศิริขวัญถามย้ำด้วยความเป็นห่วง
“ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว ฉันกลับมาอยู่บ้านที่กระบี่แล้ว" พิมพ์พลอยตอบอย่างหมดแรง
"ดีแล้วพลอยที่แกออกมาจากตรงนั้นได้ แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง อยู่ที่นั่นสบายดีใช่ไหม มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”
“ฉันโอเคตอนนี้ ฉันเปิดร้านขายของชำเล็กๆ ที่บ้านน่ะ”
“จริงเหรอพลอย แกเก่งอยู่แล้วฉันว่าร้านต้องไปได้สวยแน่ๆ ฉันดีใจที่แกหาอะไรทำนะ แกไม่ต้องคิดมากนะเรื่องนั้นน่ะ พวกนั้นมันไม่คู่ควรกับแกหรอก”
คำปลอบโยนของศิริขวัญทำให้กำแพงในใจของพิมพ์พลอยสั่นคลอนอีกครั้ง น้ำตาที่เคยแห้งไปแล้วกลับเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบใจนะขวัญที่เป็นห่วง”
“ก็ต้องห่วงสิพลอย แกเป็นเพื่อนฉันนะ มีอะไรโทรหาฉันได้ตลอดเลยนะไม่ต้องเกรงใจ แล้วถ้าแกพร้อมเมื่อไหร่ กลับมากรุงเทพฯ นะ มาทำงานด้วยกันก็ได้ ฉันรอแกอยู่นะ”
“ขอบใจนะขวัญ”
“พักผ่อนเยอะๆ นะแล้วค่อยคุยกันใหม่”
เมื่อศริริขวัญวางสายไปแล้วพิมพ์พลอยก็นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เธอรู้ว่าศิริขวัญเป็นห่วงเธอจริงๆ และคำพูดของเพื่อนก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ความหวาดกลัวที่จะเจ็บปวดซ้ำรอยเดิมมันรุนแรงมากจนพิมพ์พลอยรู้สึกเหมือนมีกำแพงหนาทึบก่อตัวขึ้นมาปิดกั้นหัวใจของเธอไว้
เธอไม่กล้าที่จะเปิดใจให้ใครเข้ามาอีกแล้ว ไม่กล้าที่จะเชื่อใจใครอีกต่อไป เพราะบาดแผลครั้งนี้มันฝังลึกเกินกว่าที่เธอจะกล้าเสี่ยงอีกครั้ง
พิมพ์พลอยกดลบรูปถ่ายทั้งหมดในโทรศัพท์จนเกลี้ยง ราวกับต้องการลบความทรงจำที่เจ็บปวดเหล่านั้นออกไปให้หมดสิ้น เธอโยนโทรศัพท์ลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะก้มหน้าซบกับแขนตัวเองที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์
คืนนี้หญิงสาวเข้านอนด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ที่หัวใจแต่เธอสัญญากับตัวเองว่าจะต้องลืมทุกอย่างให้ได้ เธอให้เวลากับคนเลวสองคนมานานมากพอแล้ว
ขณะกลิ้งตัวอยู่บนที่นอนใบหน้าของนายหัวธนธรรศก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เขาก็เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอคุยด้วยมากที่สุด