ควันสีขาวขุ่นกำจายทั่วตำหนักซานซี องครักษ์ฝีมือดีราวยี่สิบคนวิ่งแทบหัวชนกันเมื่อได้ยินคำสั่งกร้าวของชินอ๋องสั่งให้ออกไล่ล่าพระชายา
“ไปเอาตัวนางกลับมาให้ได้” เสียงกร้าวตวาดลั่น ชินหวางอ๋องสำลักระเบิดควันจนหน้าแดง
สองตาแดงก่ำด้วยความคับแค้นใจ เขาเองเป็นต้นเหตุให้นางหนีออกจากตำหนัก
รอยปิ่นปักบนท้องแขนทำเอาเลือดไหลไม่หยุด ชินอ๋องฉีกผ้ามามัดปากแผลไว้ ยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก ไม่นึกว่าสตรีตัวเล็กจะคิดสู้
ตลอดสามปีที่ผ่านมานางยอมลงให้ทุกครั้ง แม้ถูกเหยียดหยามอย่างไรนางยังทนอยู่ ไม่นึกว่าครั้งนี้นกน้อยจะปีกกล้าขาแข็งกล้าจิกผู้เป็นนาย
ชินหวางอ๋องเคยได้รับความรักจนเคยชิน ไม่นึกว่ายามนางขัดขืนหมางเมินจะให้ความรู้สึกแปลกใหม่ได้มากเพียงนี้
ซูลี่แทบไม่อยู่ในสายตาของผู้คนทั้งตำหนัก แม้มีตำแหน่งชายาเอกแต่ชินหวางอ๋องไม่เคยพานางไปพบปะผู้คนอย่างออกหน้าออกตา เป็นดั่งนกน้อยในกรงทองรอคอยเจ้านายกลับมาหา รอคอยอย่างดอกไม้เหี่ยวเฉาในแจกัน
วันผ่านเป็นเดือนเลื่อนเป็นปี รอคอยอย่างไร้ค่าจนรู้สึกชินชา
"หากพระองค์ไม่ต้องการหม่อมฉัน ก็จงปล่อยหม่อมฉันไป" เสียงนั้นยังก้องอยู่ในห้วงโสตประสาท
ชินหวางอ๋องกรุ่นโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง หากผู้ใดรู้ว่าเขาทำร้ายพระชายาจนต้องหนีไปยามวิกาล ชื่อเสียงคงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีเป็นแน่ ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือองครักษ์ราวสามสิบนายหานางยังไม่พบ
เวลาล่วงเลยเข้ายามอิ๋น องครักษ์วิ่งหน้าตั้งกลับมาบอกว่ายังไม่พบซูลี่
"เหตุใดยังหาไม่พบ เพียงสตรีอ่อนแอคนเดียวยังไม่มีปัญญาพาตัวนางมาให้ข้า พวกเจ้าอยากถูกโบยรึ"
"ทูลท่านอ๋อง พวกข้าหาจนทั่วไม่พบพ่ะย่ะค่ะ นางหนีไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่รอยเท้าก็ไม่ปรากฎ"
"จะเป็นไปได้อย่างไร นางไร้วรยุทธ ซ้ำยังร่างกายอ่อนแอ จะหนีไปได้อย่างไร เป็นเพราะพวกเจ้าไร้ความสามารถมากกว่า"
"พวกองครักษ์หาทั่วแล้ว ไม่พบร่องรอยของนางแม้แต่น้อย"
"ข้าจะออกไปตามหาเอง"
"แต่แผลบนแขนท่านอ๋องยังไม่ได้รับการรักษา"
"แผลเพียงเล็กน้อย ยังไกลหัวใจ"
ชินหวางอ๋องรีบผลุนผลันออกจากตำหนัก อาชานิลสีดำตัวใหญ่ถูกควบขี่ออกไปด้วยความเร็ว พร้อมผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ทุกคนเร่งค้นหาซูลี่ตามคำสั่งชินอ๋อง หากท่านอ๋องไม่ได้ดั่งใจคงต้องอาละวาดอีกแน่นอน
ตลอดสามปีที่ผ่านมามีเพียงพระชายาซูลี่ผู้เดียวทนรองรับอารมณ์ท่านอ๋องได้ นางหนีไปเสียแล้ว ตำหนักซานซียิ่งตกที่นั่งลำบาก
แม้ไม่เคยเห็นค่าซูลี่ แต่เมื่อนางประกาศกร้าวว่าให้ปล่อยนางไป นางกล่าวว่าชีวิตของผู้ใดย่อมเป็นของตนเอง นั่นหมายถึงนางไม่ยึดติดอีกต่อไป แต่คนเช่นชินอ๋องมิอาจให้ใครมาหลู่เกียรติ หากอยากจะปล่อยนางให้เป็นอิสระเขามีสิทธิ์ปลดปล่อยนางเพียงผู้เดียว หากจะฆ่าก็ต้องตายด้วยมือเขาเท่านั้น
"เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปจากข้า ต่อให้ต้องอยู่อย่างทุกข์ทนก็ไม่มีสิทธิ์ร้องขอโอกาสไปจากข้า" แส้ในมือสะบัดฟาดสะโพกม้าจนเลือดซิบ ติดตามซูลี่ไปในทิศทางที่คาดว่านางจะหนีไป
แสงแดดอ่อนปลายยามเหม่าเริ่มทักทายบนขอบฟ้า จนแล้วจนรอดชินหวางอ๋องยังหาพระชายาไม่พบ พวกองครักษ์กล่าวว่าไม่เห็นนางแม้แต่เงาล้วนเป็นความจริง
ไร้เบาะแสของซูลี่ ไร้รอยเท้า หรือแม้แต่รอยกิ่งไม้หักก็ไม่มี
"นางจะไปไหนได้" ชินอ๋องสบถอย่างหัวเสีย
'หากพระองค์ไม่ต้องการหม่อมฉัน ก็จงปล่อยหม่อมฉันไป'
คำกล่าวของซูลี่ผุดขึ้นตอกย้ำอีกครา
"ซูลี่ เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปจากข้า"
ชินหวางอ๋องฉู่เอี้ยนกลับมาที่ตำหนักหลังค้นหาจนทั่วบริเวณป่าโดยรอบก็ไม่พบแม้เงาพระชายา ความตั้งใจแรกของเขาคือกลับจากตรวจราชกิจต่างเมืองจะมาค้างกับพระชายา แต่ข่าวสารจากแดนไกลทำให้ท่านอ๋องบันดาลโทสะ ม้าเร็วนำสาส์นมาแจ้งถึงการตายของฉู่เอี๋ยนจื่อ
น้องสาวของชินหวางอ๋องมีตำแหน่งแม่ทัพกองธงดิน มีนามว่าฉู่เอี๋ยนจื่อ แม่ทัพหญิงถูกส่งไปแต่งงานกับซูเสิ่นพี่ชายของซูลี่ ซูเสิ่นมีตำแหน่งแม่ทัพเผ่าอาร์คาร์ ตามพันธะสัญญาแต่งงานสงบศึก
ต่างฝ่ายต่างต้องแลกเปลี่ยนการแต่งงานคล้ายกับเป็นตัวประกัน แคว้นไช่กับเผ่าอาร์คาร์บาดหมางกันมาอย่างยาวนาน การแต่งงานจึงถือเป็นหลักประกันความสงบสุข
สาส์นจากม้าเร็วแจ้งว่าฉู่เอี๋ยนจื่อสิ้นใจแล้ว จะส่งศพกลับแคว้นไช่ตามประเพณีอย่างอย่างสมเกียรติ ชินอ๋องได้ฟังข่าวร้าย จึงระบายโทสะลงกับซูลี่ โดยปกติชินอ๋องมักระบายอารมณ์โดยใช้ความรุนแรง สิ่งที่ทำไม่ถือว่าเป็นสิ่งแปลกในชีวิตท่านอ๋อง เพราะตั้งแต่เล็กจนโตก็มีคนรองมือรองเท้ามากมาย หากจะระบายโทสะกับภรรยาบ้างคงมิใช่เรื่องน่าประหลาดใจ
บางสังคมความรุนแรงถือเป็นเรื่องปกติ ในตำหนักอ๋องก็เช่นกัน
ชินอ๋องเทสุราทั้งกาลงคอ
เพล้ง!! เสียงกวาดจานอาหารสำรับเช้ารวมถึงของว่างแตกกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น
"ซูลี่ กลับมา!"
ความรู้สึกภายในตีกันผสมผสานจนยุ่งเหยิง ความรู้สึกกรุ่นโกรธจางหายไปเหลือเพียงรอยห่วงอาวรณ์ค้างอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์
ชินหวางอ๋องหัวเสียจนกินอะไรไม่ลง กรอกเพียงสุราไหลผ่านลำคอเพื่อดับอารมณ์กรุ่นปะทุ
ในโพรงดินแคบลักษณะคล้ายถ้ำ
ซูลี่หยัดกายขึ้นอย่างยากลำบาก ร่างเล็กลื่นแฉลบลงมาในหลุมดักสัตว์ วัตถุประสงค์ของนายพรานคงจงใจสร้างเป็นหลุมดักสัตว์ขนาดใหญ่ รอยกลบดินบนพื้นถือว่ากลบได้แนบเนียน ด้านล่างมีไผ่ปลายแหลมปักอยู่หลายอัน เดชะบุญที่หลุมดักสัตว์แห่งนี้ทำไว้นานโขจนไม้แหลมผุพังหักไปบ้างแล้ว แต่ไม้แหลมคมบางอันยังใช้งานได้อยู่
"เกือบไปแล้ว..." ซูลี่คว้าเถาวัลย์ด้วยมือสองข้าง ดีดกายจากด้านหนึ่งไปยืนอยู่ด้านไม้ผุ โลงใจเมื่อร่างตนไม่หล่นเสียบถูกไม้ปลายแหลม
กลิ่นดินแฉะกับน้ำไหลซึมจากช่องโพรงดินทำให้เกิดแอ่งน้ำขนาดเล็ก ด้านบนมีเห็ดสีขาวขึ้นอยู่โดยรอบ
"เห็ดราชาหิมะงั้นรึ" ซูลี่ยิ้ม เห็ดที่นางเห็นคือยอดเห็ดรักษาโรค เป็นที่ต้องการของสำนักโอสถทั้งแคว้น
มือน้อยวักน้ำขึ้นมาดื่ม ทักษะการเอาตัวรอดของธิดาเผ่าทะเลทรายมิได้เหมือนคุณหนูในห้องหอผู้อื่น นางฝึกฝนร่างกายไม่ต่างจากชายชาตรี เผ่าของนางถือความเท่าเทียมเป็นหลัก ซูลี่จึงพอมีวิชาติดตัวอยู่บ้างเพื่อเอาตัวรอดในยามคับขัน
ใบหน้าหวานนวลแหงนมองปากหลุมดักสัตว์ มีกลไกบางชนิดเมื่อเปิดแล้วเจ้าหลุมมหาประลัยนั่นปิดกลับได้เอง ใบไม้ปกคลุมถูกดึงมาปิดปากหลุมเสียมิดชิด ผู้คิดค้นหลุมนี้ขึ้นมาคงหมายให้สัตว์ตกตายอย่างไม่มีทางหลุดรอดได้
"ซูลี่หนอซูลี่ ได้ตำแหน่งพระชายาแห่งตำหนักร้างรัก ซ้ำยังตกที่นั่งลำบากต้องถูกขังในหลุมดักสัตว์อีก" ซูลี่บ่นพึมพำกับตนเอง
ร่างอรชร แกะห่อผ้าบนบ่านำอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีดำขึ้นมาสวม มองเพชรสีครามเม็ดใหญ่ในห่อผ้าส่องประกายแวววาว มันคือเพชรบนมงกุฎวันงานอภิเษกของนางกับชินอ๋อง
ห่อผ้าของซูลี่ถูกเก็บเตรียมไว้ล่วงหน้า นางมีความคิดหลายคราว่าจะหนีไปจากตำหนักอ๋อง หนีกลับเผ่าทะเลทรายให้รู้แล้วรู้รอด หลายครั้งที่ชินหวางอ๋องลงไม้ลงมือกับนาง ยิ่งระยะหลังยิ่งหนักข้อแต่ซูลี่ยังทนอยู่ ทนซ้ำ ๆ แม้เก็บห่อผ้าไว้ก็ไม่กล้าไปจากฉู่เอี้ยนเสียที จนครั้งนี้ที่ซูลี่ทนไม่ไหว
ไม่นึกว่าห่อผ้าที่เคยเก็บเตรียมไว้จะได้ใช้งานจริง ความอดทนบางครั้งก็ถึงจุดสิ้นสูญ ในที่สุดซูลี่ก็ตัดสินใจคว้าห่อผ้ากระโดดหนีออกมาโดยใช้ระเบิดควันพรางตัว
"ชะตาชีวิตของข้าช่างน่าอดสูนัก" ซูลี่วักน้ำในแอ่งดินขึ้นดื่มอีกหลายอึก แล้วเก็บเห็ดราชาหิมะมาเคี้ยวกิน
"ชะตาชีวิตจะอดสูบัดซบอย่างไรก็ช่างเถิด หากบุรุษไม่รัก ข้าขออดสูอย่างร่ำรวยก็แล้วกัน" มือน้อยเก็บเห็ดใส่ห่อผ้าจนเต็ม เห็ดราชาหิมะอันประมาณค่าไม่ได้ หากเต็มห่อผ้าจะทำเงินได้เพียงใดหนอ พลันหางตาเหลือบมองเพชรเม็ดใหญ่สีฟ้าครามที่นางแกะออกมาจากยอดมงกุฎ หากขายสองสิ่งนี้รวมกันคงพออยู่ได้สบายไปทั้งชาติ ที่แน่ ๆ ต้องหาทางเดินทางกลับเผ่าอาร์คาร์เสียก่อน
เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีแหงนมองกลไกบนปากหลุมดักสัตว์อีกครั้ง
"ไม่ว่าอย่างไรข้าจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่"