ข้อเสนอเพิ่ม

1223 คำ
เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมการเสนอราคาครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการประมูลสักเท่าไหร่ “ผมชักสนุกกับเกมของคุณแล้วสิน้ำปิง” “ถ้างั้นพ่อเลี้ยงก็เสนอราคามาสิคะ ฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วคุณวางโทรศัพท์ตรงหน้าตาสักนะ” “เดี๋ยวสิ ไหนๆ ก็จะทำแบบนี้แล้วผมขออะไรอีกอย่างได้ไหมล่ะ” “อะไรคะ” มนสิชาเลิกคิ้วถาม “ถ้าตาสักขายบ้านให้ผมคุณต้องไปกินข้าวกับผมหนึ่งมื้อ ตกลงรับข้อเสนอของผมไหมล่ะ” “ทำไมฉันต้องรับข้อเสมอของคุณล่ะคะ” “เพราะถ้าคุณไม่ทำตามข้อเสนอของผมอาจจะเอาสัญญาที่จะตาสักเซ็นไว้มาเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้นะ” “ได้สิงั้นฉันตกลง แต่บอกก่อนนะ ถ้าคุณแพ้ทั้งบ้านและที่ดินของตาสักจะเป็นของฉัน” “แน่นอน” พ่อเลี้ยงหนุ่มให้คำมั่น ทั้งสองคนแทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิดเพราะต่างก็มีตัวเลขในใจอยู่แล้ว “ส่งโทรศัพท์มาสิ คว่ำหน้าจอไว้ทั้งสองคนนั่นแหละ” แม่เลี้ยงบุปผาบอก พ่อเลี้ยงเป็นคนวางโทรศัพท์ลงก่อน จากนั้นมนสิชาก็วางตามลงไป “ตาสักหงายขึ้นมาสิ ดูซิว่าเขาให้ราคาที่พอใจไหม” “ครับแม่เลี้ยง” เจ้าของบ้านค่อยๆ เอื้อมมืออันเหี่ยวย่นของตนเองไปพลิกโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องให้หงายขึ้น เขามองหน้าสองคนสลับไปมาเมื่อเห็นว่าตัวเลขมันเท่ากันอย่างน่าประหลาดใจ “มันเท่ากันแบบนี้ผมจะต้องขายให้ใครล่ะ” เขาถามทั้งสามคนด้วยสีหน้างงงัน “หนูแล้วแต่ตาเลยค่ะ” มนสิชาบอกชายสูงวัยที่ดูลังเล “น้ำปิงตาต้องขอโทษที่ขายให้หนูไม่ได้แล้ว เพราะราคามันเท่ากันอย่างนี้ตาก็ต้องยอมให้พ่อเลี้ยงเอาบ้านและที่ดินไป เพราะตารับเงินเขามาแล้วครึ่งหนึ่ง” “ไม่เป็นไรค่ะตา เรื่องนี้หนูเข้าใจ” “ผมจะให้คนงานเข้ามารื้อถอนวันนี้เลยนะตาสัก ผมไม่อยากเสียเวลาแล้ว” “พ่อเลี้ยงจะซื้อจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่ารื้อถอนบ้านผมไปแล้วมากลับคำทีหลังนะครับ” “ผมไม่ใช่คนแบบนั้นถ้าตาไม่มั่นใจเราก็ไปโอนที่กันวันนี้เลยไหม “ไม่ต้องกลัวตาสัก ฉันเป็นผู้ใหญ่พอและครอบครัวเราก็ทำธุรกิจนี้มานาน เราไม่เอาชื่อเสียงมาแลกกับเรื่องแค่นี้หรอก” “ถ้าแม่เลี้ยงช่วยยืนยันอีกเสียงผมก็ตกลง” ตาสักกล่าวเสียงหนักแน่น “ตาสักก็ตกลงขายที่ให้ผมแล้ว ที่นี่ก็เหลือคุณนะมนสิชา” “ทำไมเรียกห่างเหินแบบนั้นทิศเหนือ เรียกว่าน้ำปิงสิ” แม่เลี้ยงบุปผารีบบอกลูกชาย “น้ำปิง คุณอย่าลืมสัญญานะว่าคุณจะต้องไปกินข้าวกับผม” “ฉันไปสัญญากับคุณตอนไหน” “แม่ดูสิคะหนูน้ำปิงของแม่ก็ผิดสัญญา” เขาฟ้องมารดาตัวเองราวกับเป็นเด็กน้อย “หนูน้ำปิงมีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจลูกชายป้ายังไงก็ไปทานข้าวกับพี่เขาซักมือสิ” “ก็ได้ค่ะ น้ำปิงไม่ใช่คนไม่รักษาสัญญา ที่พูดเมื่อกี้ก็แค่อยากจะรู้ว่าถ้าน้ำปิงปฏิเสธพ่อเลี้ยงจะทำยังไงต่อ” หญิงสาวรีบแก้ตัวไปนี้ขุ่นๆ ทั้งที่จะแท้จริงแล้วเธอตั้งใจจะเบี้ยวนัดเขา และเพราะคิดว่าเขาจะต้องยุ่งกับการรื้อถอนบ้านของตาสักแต่พอเขาพูดแบบนี้คนอย่างมนสิชาก็รักษาคำพูด “ยังไงฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ไปไหน คุณจัดการเรื่องบ้านตาสักให้เรียบร้อยก็ได้ แล้วค่อยมานัดกันอีกทีว่าจะไปกินข้าววันไหน” มนสิชาพยายามถ่วงเวลา เพราะจู่ๆ จะให้เธอไปกินข้าวกับใครก็ไม่รู้มันก็ดูอันตราย และระหว่างนี้เธอก็ไปสอบถามเรื่องราวของเขากับยายไม่ก็คนละแวกใกล้เคียงเพื่อเป็นข้อมูลไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าเขาไว้ใจได้มากแค่ไหน “ไม่ใช่คิดจะหาทางเบี้ยวนัดผมนะ” “ฉันเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เสาร์หน้าคุณนัดมาได้เลยว่าจะไปกินที่ไหนกี่โมง” “แล้วผมจะโทรบอกอีกทีนะ จริงสิผมยังไม่มีเบอร์ของคุณเลย” “นี่คือการขอเบอร์โทรผู้หญิงของคุณเหรอคะ” “ก็ถ้าผมไม่ขอเบอร์คุณ เราจะคิดต่อกันยังไงล่ะ” พอเขาพูดแบบนั้นมนสิชาเลยต้องให้เบอร์กับเขาอย่างเสียไม่ได้ “คุณป้าก็จะไปทานข้าวด้วยใช่ไหมคะ” “ป้ายังไม่แน่ใจ แต่ถ้าว่างก็จะไปด้วย” แม่เลี้ยงบุปผารับปากไปก่อน แต่การไปทานข้าวกับมนสิชาและทิศเหนือไม่เคยอยู่ในความคิด เธออยากให้ทั้งสองคนไปทานข้าวกันตามลำพังมากกว่า หลังจากกลับมาจากบ้านของตาสักแล้วมนสิชาก็เข้ามาคุยกับยายช่อเอื้องที่ตอนนี้ไปฉีดสีที่โรงพยาบาลเอกชนและได้ผลการตรวจมาแล้วและอีกสองสัปดาห์ก็จะถึงกำหนดไปทำบอลลูนหัวใจที่โรงพยาบาล “เป็นยังไงล่ะ พ่อเลี้ยงยอมซื้อทั้งบ้านและที่ดินไหมลูก” “ยอมค่ะยาย” “เราก็ไม่น่าไปบอกตาสักให้ต่อรองกับพ่อเลี้ยงแบบนั้นเลย ถ้าเกิดเขาไม่ซื้อขึ้นมาจะทำยังไง” “มันก็ต้องลองเสี่ยงดูนี่คะ ถ้าเขาไม่ยอมซื้อหนูก็จะบอกตาสักให้ยอมขายแค่บ้านแต่ยังไงก็ต้องได้ต่อรองก่อน จริงๆ แล้วหนูก็อยากได้ที่ของตาสักนะคะ มันติดบ้านเราเลยแต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมาทำอะไร” “นั้นสิ นี่ก็ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะซื้อไปทำอะไรเหมือนกัน” “แหมคนรวยๆ เขาก็ซื้อเก็บไว้กันทั้งนั้นแหละค่ะ” “นั้นสินะ คนรวยอย่างพ่อเลี้ยงเงินแค่นี้คงไม่เดือดร้อนอะไร” “ยายรู้จักกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือและแม่เลี้ยงบุปผามานานหรือยังคะ” “นานมากแล้วล่ะ” “ยายคะ หนูมีเรื่องจะถามยายนิดหน่อยค่ะ” “เรื่องพ่อเลี้ยงเหรอ” “ค่ะยาย” มนสิชาเล่าเรื่องเมื่อครู่ที่บ้านของตาสักให้กับผู้เป็นยายฟังเพราะอยากฟังความเห็นว่าเธอควรจะไปทานข้าวกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือดีไหม หรือจะหาทางบ่ายเบี่ยงไปก่อน “รับปากเขาแล้วก็ต้องไปสิน้ำปิง” “แต่หนูยังไม่รู้จักเขาเลยนะคะ หนูไม่กล้าไว้ใจไปไหนมาไหนกับเขาหรอกค่ะยาย” “ครอบครัวเขามีชื่อเสียงในเมืองนี้ เขาคงไม่ทำอะไรเราหรอกน่าอย่ากลัวไปเลย ถ้าเขาชวนเราตรงๆ ก็ถือว่าเขาให้เกียรติเรานะ อีกอย่างแม่เขาก็อยู่ด้วยตอนที่เขาชวนนี่ ถ้าเขาจะคิดทำอะไรเราเขาคงไม่ชวนหนูต่อหน้าแม่เขาหรอกนะน้ำปิง” คุณยายช่อเอื้องพูดกับหลานสาวตามประสาคนที่ผ่านโลกมามาก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม