พรพระพายยอมรับว่าตกใจหลังได้ฟังเรื่องที่บิดาบอก ท่านอ้างว่าเจ้าสัวดิลกเพื่อนสนิทมีลูกชายคนเดียว ซึ่งเธอพอจำหน้าในวัยเด็กได้รางๆ เจ้าสัวดิลกบอกว่าถ้าหลานคลอดในปีนี้ซึ่งถือเป็นปีเกิดเดียวกับเจ้าสัว ฝ่ายนั้นจะรับขวัญหลาน ด้วยการยกกิจการบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์ให้
“พ่อคะ หนูไม่ใช่ตู้รับตั้งครรภ์อัตโนมัตินะคะ จะได้หยอดเหรียญแล้วกดออกมาเป็นเด็ก หนูเป็นคน แล้วฝากบอกเพื่อนของพ่อด้วย หนูไม่มีวันแต่งกับลูกชายเขาหรอก มันยังมีอีกเหรอคะเรื่องการคลุมถุงชน”
“ใช่ ยัยพาย แกพูดไม่ผิด แกเป็นคนไม่ใช่ตู้รับฝากครรภ์อัตโนมัติ แต่อย่าลืมเรื่องความกตัญญู แกอยากเห็นบริษัทที่แม่แกสร้างมากับมือตั้งแต่ตอนยังไม่มีอะไรเลยถูกยึดหรือไง”
“พ่อดูละครน้ำเน่ามากไปแล้ว ยังไงหนูก็ไม่แต่ง”
“แกต้องแต่ง”
“หนูทำเพื่อครอบครัวมาเยอะแล้ว เงินสิบล้านที่พ่อต้องการ หนูก็หาให้แล้วคราวก่อน พ่อหยุดบังคับหนูเถอะค่ะ”
เห็นลูกสาวเสียงแข็งทั้งที่ปกติเป็นคนพูดจาอ่อนน้อมน่าฟัง คนเป็นพ่อเลยเสียงอ่อนลง ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ยัยพาย ช่วยพ่อเถอะนะ อีกครั้งเดียวเท่านั้นลูก”
“ทำไมพ่อไม่ไปขอให้ยัยรสิกาเมียใหม่พ่อช่วยคะ ยัยนั่นเอาแต่ใช้เงินที่เราหามาจนเป็นแบบนี้”
“ยัยพาย!”
เธอเป็นคนสวยและซวยมาก ซวยทั้งเรื่องธุรกิจ ทางบ้านกำลังย่ำแย่ กำลังจะถูกคลุมถุงชน แถมคนรักก็แอบแต่งงานไปกับสาวสวยไฮโซคนหนึ่ง พรพระพายจึงเลือกสั่งม็อกเทลมากิน เธออยากดื่ม อยากได้บรรยากาศสนุกสนาน แต่ไม่อยากเมาเพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากไม่มีสติ แต่กลับกลายเป็นว่า...คืนนั้นเธอเมาหนัก
พรหมจรรย์ที่เธอคิดจะเก็บมันเอาไว้ให้กับคู่หมั้นหนุ่ม จึงถูกหยิบยื่นให้กับชายคนหนึ่งที่เขาบังเอิญผ่านมาและช่วยเธอเอาไว้ เขาเรียกช่างที่อู่มาลากรถไป และในคืนนั้นเอง เขาก็ลากเธอไปปู้ยี่ปู้ยำกี่ครั้งก็จำไม่ได้
‘เธอเสียพรหมจรรย์ครั้งแรกให้กับคนแปลกหน้า’ เธอเสียใจแต่มีเรื่องกิจการที่เมืองไทยทำให้เธอต้องรีบกลับมาเข้มแข็ง
ไม่รู้เขาเหมือนคนอดอยากปากแห้งมาจากไหน เหมือนว่าไม่เคยเจอะเจอผู้หญิงมาเป็นแรมปี เรียกได้ว่า หลังจากนั้นอีกสองวัน เธอต้องนอนซมระบมไปหมดเพราะพิษไข้ แทบก้าวขาออกไปไหนไม่ได้
พรพระพายจำได้แล้วเขาคือคนที่ชอบแอบมองเธอตอนอยู่ในโรงหนัง ดวงตาคู่สวยกลอกไปมา รู้สึกอีกทีเมื่อเสียงแหบพร่าดังขึ้น พร้อมกับมือหนาที่เลื่อนมาสัมผัสต้นขาของเธอ
“ว่าไง คืนนั้นทำไมเธอไม่อยู่รอฉันตื่น ทำไมต้องหนีฉันไปด้วย”
“ใครจะอยู่รอให้คุณตื่นมาทำเรื่องบ้าๆ เป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ล่ะ คุณช่วยฉันแต่ก็กระชากพรหมจรรย์ฉันไป”
“ฉันขอโทษ เรื่องคืนนั้นฉันมีคำอธิบาย”
เขาไม่พูดแต่เอาคางสากๆ ลงมาบดเบียดซุกซนกับลำคอระหงที่ตั้งตรง
“ฉันไม่อยากฟัง” เธอกลัวเขาจะพาไปทวนความจำบนที่นอนอีกหน ซึ่งนั้นไม่ดีแน่
“ใจเย็นนะ เจอหน้าผัวแล้ว เดี๋ยวให้เจอหน้าลูกด้วย ลูกของเราฉลาดและน่ารักมาก แล้วเราค่อยคุยกัน”
“ลูกอีกแล้ว ลูกอะไร ลูกของคุณคนเดียวไม่ใช่ลูกของเรา ประสาทหรือเปล่า คุณพูดว่าฉันมีลูกกับคุณไม่หยุดเลย”
“ก็มันเรื่องจริง”
หญิงสาวเม้มปากแน่น เขาคงไม่ปกติแล้วล่ะ สิ่งแรกที่พรพระพายคิดคือ เธอเผลอตัวนอนกับพวกโรคจิตไปแล้ว
“ฉันจะกลับ ฉันไม่ทำงานนี้แล้ว” เธอผลักเขาออกอยากจะหนีไปจากสถานการณ์บ้าๆ นี่
แบรดลีย์เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เมียกลัวหนักกว่าที่คิดไว้แฮะ เขาคิดว่าถ้าเธอได้เห็นหน้าลูกๆ เธอจะเข้าใจและเชื่อเขาง่ายขึ้น
หญิงสาวไม่รอให้เขาพูดอีก มือเรียวคว้ากระเป๋ามากอดแน่น เธอดูหนังโรคจิตบ่อยๆ ผู้ชายเพียบพร้อมแต่มีอาการทางจิตสร้างโลกขึ้นมาในสมอง ขืนทำงานกับคนโรคจิต เธอจะผิดปกติไปด้วย เสียตัวไปแล้วก็ช่างมันเถอะ เธอจะพยายามลืมๆ มันไป
“เธอยังกลับไม่ได้ถ้าฉันยังไม่อนุญาต ถึงเวลาที่เธอต้องทำหน้าที่แม่บ้างแล้ว เพราะฉันทำหน้าที่พ่อและแม่คนเดียวมาตลอด ลูกของเราเขาต้องการเธอ เขาเริ่มร้องหาแม่ โดยเฉพาะคนน้อง เขาอยากเจอเธอมาก” พรพระพายชะงักเท้าที่กำลังออกเดิน สูดลมหายใจเข้าลึก เขาคงมีอาการจิตขั้นเทพ
“เด็กสองคนนั้นเป็นลูกคุณคนเดียว ไม่เกี่ยวกับฉัน และฉันขอยกเลิกงานนี้ ฉันว่าฉันคงทำงานให้คุณไม่ได้” ใครจะอยากทำงานกับคนโรคจิตที่ยัดเยียดลูกตัวเองให้มาเป็นลูกของเธอ คนสติดีที่ไหนเขาทำกัน เสียดายหน้าตาและฐานะ
‘ทั้งหื่นทั้งโรคจิต หรือเมียทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียวจนสมองเพี้ยน’
‘ต้องมีประวัติถูกเมียทิ้งแน่’
ระหว่างที่พรพระพายคิดไปต่างๆ นานา และกลัวว่าเขาจะกระชากเธอไปทำเรื่องแบบคืนนั้นอีก แบรดลีย์ก็ก้าวอาดๆ เข้ามาหา พรพระพายเห็นท่าทางคุกคามของเขาก็ถอยร่นจนแผ่นหลังไปชนกับเปียโนสีขาวตัวใหญ่
“ออกไปนะ ออกไปให้พ้น ฉันเกลียดแกไอ้โรคจิต” นิ้วเรียวเผลอกดลงไปจนเสียงเมโลดี้ดังขึ้น
แบรดลีย์กระตุกยิ้ม มองคนตัวเล็กที่ตั้งใจจะจับตัวเธอไปนั่งที่โซฟาแล้วเคลียร์กันให้รู้เรื่อง แต่พอเข้าใกล้แล้ว ความรู้สึกโหยหามาหลายวันมันทำให้เขาดึงเธอเข้าไปหา แล้วก้มลงจูบชนิดเอาเป็นเอาตาย
ปากหยักลึกแนบลงมาอย่างดิบเถื่อน “คำก็โรคจิต สองคำก็โรคจิต ฉันขอปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่าฉันหื่น ฉันไม่เถียง” ไม่แปลกที่เธอจะตกใจและคิดไปแบบนั้น แต่ถ้าเธอใจเย็นหยุดฟังเขาอธิบายสักนิด เธอต้องเข้าใจ
พรพระพายดิ้นรนหนี แต่ถูกเขากักตัวไว้ด้วยท่อนแขนแกร่ง ปากหยักลึกระดมจูบไม่หยุดหย่อนจนเจ้าของร่างเล็กวูบวาบเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้า แบรดลีย์งับกลีบปากนุ่มพลางกระซิบเสียงทุ้มพร่าชวนใจสั่น
“หลายวันนี้ ฉันแทบไม่อยากกินข้าว เพราะฉันเก็บท้องเอาไว้กินเธอ ถ้าเราเคลียร์กันเข้าใจแล้ว เรามารำลึกเรื่องคืนนั้นกันอีกครั้งยาวๆ ดีไหม”
‘เก็บท้องเอาไว้กินเธอ’ พรพระพายร้องยี้ในใจ ตัดสินใจได้แล้วว่า
‘นี่มันโรคจิตชัดๆ’
พรพระพายตัดสินใจเลือกทำทุกอย่างให้ตัวเองหนีรอดออกไป มือเล็กคว้าแจกันบนหลังเปียโนฟาดลงบนหัวคนหล่อเต็มแรง
เคล้ง!
เสียงแจกันหล่นแตกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ทรุดลงไปกองกับพื้น แบรดลีย์ยกมือกุมศีรษะ
‘เขาจะตายไหม’ พรพระพายยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้อง ไม่น่าตาย เธอฟาดยังไม่สุดแรง แต่เมื่อเห็นเลือดไหลลงมาอาบใบหน้าของเขา เสียงในหัวก็ตะโกนบอกให้เธอวิ่งออกไปจากที่นี่ซะ
“ฉะ...ฉันขอโทษ” คนร้ายสาวสวยก่อเหตุเสร็จแล้ววิ่งออกมาทันที ทว่าพอผลักประตูออกมา สิ่งที่ทำให้สองเท้าของเธอหยุดชะงักนั่นก็คือ…
“มามี้ มี้ มี้” เสียงเล็กๆ ของจัสตินดังขึ้น ทั้งชี้และมองมาที่เธอ
พรพระพายตะลึงงันเมื่อเห็นฝาแฝดสุดหล่อวัยขวบเศษที่สาวใช้ในชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าคาดขาวอุ้มอยู่