“ฉันคุยกับน้องสาวเธอ ไม่ใช่เธอ”
“...”
ลูกแก้วได้ยินแบบนั้นก็เงียบลง เธอเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเริ่มสั่นเทาเมื่อได้ยินประโยคถัดไป
“ถ้าวันหนึ่งฉันเบื่อคนพี่ ยังไงคนน้องก็ต้องมาทำแทน”
“...”
“ให้ฉันสนิทกับน้องสาวเธอเอาไว้ไม่ดีกว่าเหรอ?”
“คุณสิงห์!”
ลูกแก้วกัดกรามแน่น เธอจ้องหน้าเขาด้วยสายตาโมโห เกลียดคำพูดของเขา และสายตาและท่าทางที่เหมือนพวกเจ้าชู้ประตูดิน จะไปทำกับใครก็ได้ แต่อย่ามาทำกับน้องสาวของเธอ
และลูกหว้าก็รู้สึกอัดอัดไม่น้อย ลูกหว้าไม่ชอบสีหราช เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายใจร้ายกับพี่สาวเธอมากแค่ไหน แล้วอีกอย่าง ลูกหว้ามีแฟนหนุ่มที่คบหากันอยู่แล้ว เด็กสาวรู้ดีว่าพี่สาวของตัวเองยอมเสียสละทุกอย่างในชีวิตเพื่อแต่งงานกับเจ้าหนี้ อีกฝ่ายทำเพื่อเธอ ไม่ให้เธอต้องมาเผชิญกับเรื่องแบบนี้ทั้งที่อายุยังน้อย
“หว้า เดี๋ยวพี่กลับกับคุณสิงห์ หว้ากลับไปก่อนนะ”
“อื้อ พี่แก้วดูแลตัวเองด้วยนะ”
“จ้ะ กลับดี ๆ นะ”
ลูกแก้วหันบอกน้องสาว ก่อนอีกฝ่ายจะยกมือบ๊ายบายและเดินออกจากร้านนี้ไป สีหราชกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ และแสร้งทำเป็นหันมองลูกหว้าจนเหลียวหลัง ก่อนจะถูกลูกแก้วเรียกเอาไว้
“คุณสิงห์!”
เขาหันกลับมามองเธอ พลางเลิกคิ้วขึ้น
“ทำไม?”
“อย่าทำแบบนี้ต่อหน้าน้องสาวของแก้วนะคะ”
เขายักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน
“หวงเหรอ?”
“ค่ะ หวง”
สีหราชไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองจะเต้นกระหน่ำเท่านี้มาก่อน...
ลูกแก้วหวงเขาอย่างนั้นเหรอ?
“แก้วหวงน้องค่ะ หว้ายังเด็ก ยังมีอนาคตอีกไกล ไม่อยากให้จมปลักอยู่ในตมแบบพี่สาว”
เพล้ง
ราวกับเสียงหัวใจที่ชื่นบานเมื่อกี้แตกสลายภายในเสี้ยววิ
สีหราชสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างอดกลั้น ก่อนคนตัวเล็กจะหมุนตัวเดินนำหน้าเขา ทำให้สีหราชเดินตามเธอจนกระทั่งถึงรถยนต์
เขาปลดล็อครถ ลูกแก้วแทรกตัวเข้าไปนั่งด้านในรถทันที ทำให้สีหราชรีบเข้าไปนั่งที่คนขับ ก่อนชายหนุ่มจะหันมองคนข้างกายที่เอาแต่หันมองไปนอกหน้าต่าง
“อยากไปไหนหรือเปล่า?”
“คะ?”
ลูกแก้วหันมองสีหราช เธอเลิกคิ้วขึ้นตั้งคำถาม
“วันเกิดไม่ใช่เหรอ อยากไปไหนไหม”
“คุณจะพาไปเหรอคะ”
“ก็ใช่ ฉันว่างพอดี”
“ไม่ค่ะ แก้วอยากกลับบ้าน”
“ทำไม หรืออยากไปกับไอ้แผ่นดินมากกว่า?”
จู่ ๆ เขาก็พูดถึงแผ่นดิน ลูกแก้วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
สีหราช...ผู้ชายคนนี้ บางครั้งก็เหมือนจะทำดีกับเธอ เหมือนจะใส่ใจเธอ แต่สุดท้ายสุนัขเป็นฝูงก็ออกมาจากปากของเขา
ลูกแก้วไม่คาดหวังอะไรอีกแล้วนับจากนี้
“มั้งคะ ถ้าได้ไปกับแผ่นดินก็คงดี เขาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตนี้ของแก้ว”
เธอตอบตามความจริง และย้ำคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ ให้อีกคนได้ยินชัด ๆ สีหราชพ่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก ก่อนเขาจะพึมพำในลำคอ
“เชื่อก็โง่”
ลูกแก้วอยากจะเงื้อมือตบปากเขาสักทีให้สาแก่ใจ แต่เธอทำได้แค่กำมือแน่นอยู่บนตักตัวเอง สีหราชยังคงหาเรื่องเธอต่อ สายตาของเขามองไปที่มือซ้ายของเธอ
“ทำไมไม่ใส่แหวน?”
ลูกแก้วก้มมองมือซ้ายของตัวเองทันที ก่อนเธอจะกลอกสายตาไปทางอื่น
“แก้วลืมค่ะ”
เธอลืมจริง ๆ ...
“ลืมหรือตั้งใจไม่ใส่กันแน่”
“แก้วลืมจริง ๆ ค่ะ รอบหน้าจะใส่”
เธอตอบพลางมองที่มือซ้ายของเขา ก็เห็นแหวนแต่งงานอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายเหมือนเมื่อวาน
อีกฝ่ายสวมแหวนตลอดเลยหรือไง ความจริงไม่ต้องก็ได้ เรื่องนี้ไม่จำเป็น ไม่สวมยิ่งดี เพราะสวมแหวนก็เหมือนผูกเชือกรัดคอ ทว่าลูกแก้วไม่อยากพูดอะไรมาก เธอทำเพียงบอกว่ารอบหน้าจะสวมมัน
สีหราชได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนรถยนต์คันหรูจะขับออกจากตรงนี้ด้วยความเร็ว มุ่งหน้ากลับเพนท์เฮ้าส์ ลูกแก้วไม่สนใจอีกฝ่าย เธอหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างจนเกิดความเงียบต่อเราสองคนจนกระทั่งถึงที่หมาย
20.00 น.
สีหราชไปส่งลูกแก้วที่เพนท์เฮ้าส์ และเขาก็ขับรถออกมาหาเพื่อนที่บาร์ร้านประจำ ตอนนี้ยังหัวค่ำ คนจึงไม่เยอะมาก แต่ก็กำลังทยอยกันมา แก้วเหล้าถูกชงจนเข้มก่อนชายหนุ่มทั้งสามก็กระดกอึก ๆ ราวกับหิวกระหายมาจากไหน
“ฮ้า!!”
เดวิดกระดกหมดคนแรกก็ตั้งแก้วลงบนโต๊ะ สีหน้าทั้งเดวิดและเสกสรรค่อนข้างเบิกบานเพราะได้ออกมาเจอเพื่อนและได้ดื่มเหล้าแบบนี้ ทว่ามีอยู่คนเดียวที่หน้าตาบอกบุญไม่รับ
“ไอ้สิงห์ หน้าตาอมทุกข์เชียว ทะเลาะกับเมียอีกแล้วเหรอ?”
เสกสรรถามขึ้น สีหราชหันมองหน้าเพื่อนตัวเองก่อนจะถอนหายใจ
“ต้องถามว่ามีวันไหนที่ไม่ทะเลาะ”
“ก็มึงปากหมา”
เดวิดหนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษที่พูดไทยชัดแจ๋วโพล่งออกมาตรง ๆ สีหราชตวัดสายตามองเพื่อนตัวเองอย่างเคือง ๆ
“ปากดีไอ้เวร”
“นึกว่ามึงเผด็จศึกเมียได้แล้วซะอีก ครบปีนึงแล้วไม่ใช่เหรอ มึงจะกลัวอะไรอยู่”
เสกสรรถามออกมา ก่อนจะถูกสีหราชหันมาเขม่นใส่
“กูไม่ได้กลัว!”
“อ๋อเหรอ”
“เออ กูนี่นะจะกลัวลูกหนี้ มึงเพี้ยนหรือเปล่า?”
“ไม่กลัวแต่ก็ไม่กล้าแตะต้องตัวเขาสักที”
“...”
สีหราชเงียบกริบ ก่อนจะเบือนสายตาหงุดหงิดไปอีกทางพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างอารมณ์เสีย...และก็เถียงไม่ได้
ที่เขาไม่แตะต้องตัวลูกแก้วไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเขาต้องการให้อีกฝ่ายเต็มใจมากกว่านี้ พูดง่าย ๆ ก็คืออยากให้เธอยอมเขาเอง แต่ดูเหมือนว่าไม่มีวี่แววที่ลูกแก้วจะยอมเป็นของเขาสักที
และสีหราชก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่า เผลอ ๆ มารดาของเธออาจจะหาเงินมาคืนเขาได้ซะก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรที่ต้องการ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เขาคงยอมไม่ได้
“แม่ง”
สีหราชคิดพลางสบทออกมา เพื่อนทั้งสองที่ได้ยินแบบนั้นก็ต่างหันมองหน้ากัน
“มีอะไรจะปรึกษาพวกกู ก็พูดมาได้นะ”
เดวิดแสร้งทำเป็นเปิดหัว เช่นเดียวกับเสรสรรที่พยักหน้าหงึก ๆ แม้ว่าพวกเขาจะชอบซ้ำเติมเพราะหมั่นไส้ความมั่นหน้าของเพื่อนตัวเอง แต่ก็พอจะดูออกถึงความกังวลในใจของอีกฝ่าย สีหราชได้ยินแบบนั้นก็พ่นลมหายใจออกมา
“ลูกแก้วไม่ยอมกูเลย”
“เรื่องไหนวะ?”
“ทุกเรื่อง”
“แล้วมึงจะไปสนใจอะไร มึงเป็นเจ้าหนี้นะ”
เดวิดพูดออกมาตรง ๆ จริงที่ว่าเขาเป็นเจ้าหนี้ ถ้าเป็นคนอื่นลูกแก้วไม่รอดไปตั้งนานแล้ว แต่เป็นเขาเองที่ไม่ทำ...
‘จำเอาไว้ว่าชาตินี้ทั้งชาติ แก้วจะไม่มีวันให้อภัยคุณ และไม่ว่าชาติไหนก็อย่ามาเจอกันอีก’
ทว่าประโยคของเธอทำให้เขาหยุดทุกการกระทำ สีหราชกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
“กูอยากให้ลูกแก้วยอมกูเอง”
“งั้นก็ทำใจ ชาตินี้มึงคงไม่ได้แอ้มเมียมึงหรอก”
“แต่เดี๋ยวพอเขาหาเงินมาใช้หนี้มึงได้ มึงก็ต้องหย่ากับเขา ถ้าเป็นแบบนั้นมึงก็อด”
เสกสรรกับเดวิดยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะหันไปกระดกเหล้ากันต่อ สีหราชได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้า
“กูจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นหรอก”
“แล้วมึงจะทำยังไง?”
เสกสรรถาม สีหราชเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ก่อนจะนึกบางอย่างออก
จู่ ๆ ใบหน้าของ ‘ลูกหว้า’ ก็ผุดเข้ามาในหัวสมองของเขา และท่าทางที่หวงน้องสาวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดของลูกแก้ว เขาคิดว่าตัวเองรู้จุดอ่อนของภรรยาแล้ว
“กูคิดออกแล้ว”
ชายหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะยกยิ้มร้ายกาจ เพื่อนทั้งสองหันมองหน้ากัน พลางคิดในใจว่าเรื่องที่อีกฝ่ายคิดออก ร้อยทั้งร้อยคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่