ราวกับต้องมนตร์สะกด...เมื่อได้สบตากับเจณิสตาแล้วเหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ทุกสิ่งรอบกายเงียบสงัด มีเพียงเสียงหัวใจดวงโตที่เต้นกระหน่ำสะท้อนในอกจนปวดหนึบ
ใบหน้าสวยงามและผิวพรรณขาวสว่างสะท้อนแสงทำเขาตาพร่า ดวงตากลมโตแววหวาน จมูกโด่งปลายเชิดรั้น ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูสด ทุกอย่างที่อยู่บนใบหน้าเธอช่างพอเหมาะพอเจาะ ไหนจะรูปร่างบอบบางแต่อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกผายกำลังงามรับกับต้นขาเรียวเล็กไร้ไขมันส่วนเกิน ทุกอย่างที่รวมเป็นเธอทำเขาไม่อาจละสายตาได้เลยจนนึกตกใจ
เธอสวย สวยมากจริง ๆ มีเสน่ห์จนเขาใจสั่น ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนเลยในชีวิต
“จะคิดว่ายังไงล่ะ ก็ต้องคิดว่าแกเป็นผู้ชายที่ไม่น่าเข้าใกล้ที่สุดไง เจ้าพิธ”
พริ้มพราวเอ่ยเย้า แต่ก็เป็นการเรียกสติของพิพัฒน์และเจณิสตาที่จ้องตากันเงียบ ๆ ให้รู้สึกตัว
“เอาล่ะ มีน้องมาอยู่ร่วมบ้านด้วยก็ทำตัวให้มันดี ๆ หน่อย อย่าทำให้น้องอึดอัด แม่จะแนะนำให้รู้จักนะ พอร์ชเคยเจอคุณน้าทั้งสองแล้วตอนเด็ก ๆ แต่คนอื่นยังไม่เคยเจอ นี่น้าวีกับน้าจุ๋ม เพื่อนสนิทแม่เอง”
หนุ่มสาวทั้งสามยกมือไหว้เพื่อนสนิทของแม่ทั้งสองคนที่ไปตั้งรกรากอยู่ต่างบ้านต่างเมืองตั้งแต่พิพัฒน์ยังจำความไม่ได้
“เจนิสจ๊ะ นั่นลุงพีทสามีของป้า ส่วนสามคนนั้น พี่พอร์ช พี่พราว แล้วก็พี่พิธจ้ะ”
“สวัสดีค่ะคุณลุง สวัสดีค่ะพี่พอร์ช พี่พราว พี่พิธ”
คนตัวบางที่ไปเติบโตไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์ยกมือไหว้อย่างสวยงามตามที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี เรียกรอยยิ้มของทุกคน ยกเว้นพิพัฒน์ที่ยังมองเธอนิ่ง ๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยจนไม่สามารถอ่านความรู้สึกจากแววตาเย็นชาคู่นั้นออก
“สวัสดีจ้ะ เจนิสตัวจริงสวยกว่าในทีวีตั้งเยอะ ขนาดพี่เป็นผู้หญิงยังใจสั่นเลย”
พริ้มพราวเอ่ยชมจากใจจริง ดวงตายังไม่ยอมละไปจากใบหน้าสวยงาม ไม่ต่างอะไรกับพิธานที่พยักหน้าเห็นด้วย
“ขอบคุณมากค่ะพี่พราว”
“เอาล่ะจ้ะ จากวันนี้ไปเจนิสจะมาอยู่กับพวกเราที่นี่จนกว่าจะหมดสัญญากับทางค่าย แม่ขอให้ลูกทุกคนช่วยกันดูแลน้องด้วยนะจ๊ะ”
“สบายมากค่ะแม่ ยินดีต้อนรับมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะเจนิส ถ้ามีอะไรให้พวกพี่ช่วยเหลือก็บอกได้เลยเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าเราเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ โอเคไหม”
“พี่ก็เหมือนกันนะ เจนิสไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าพี่เป็นพี่ชายอีกคนของเจนิสแล้วกัน”
“ขอบคุณพี่ ๆ มากเลยนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เจนิสมารบกวน”
“ไม่ต้องคิดมากนะ อยู่บ้านนี้ให้มีความสุขเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ไม่ต้องเกร็ง บ้านเราไม่มีกฎอะไรสักอย่าง ใครอยากทำอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เดือดร้อนคนอื่นก็พอ”
พริ้มพราวก้าวเข้าหาแล้วรับร่างบอบบางมากอดแนบอก เป็นการปลอบใจที่หญิงสาวตัวคนเดียวเพิ่งเจอเรื่องร้าย ๆ และเป็นการยืนยันว่าพวกเธอทุกคนไม่มีใครรังเกียจหรือเห็นนักร้องสาวเป็นตัวภาระ
“น้าขอบคุณทุกคนมากนะ แค่นี้น้าก็สบายใจแล้ว ผมขอฝากเจนิสด้วยนะครับคุณพีท”
ปฐวีเอ่ยฝากฝังลูกสาวที่รักปานดวงใจกับเจ้าของบ้านอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมกับพั้นช์จะดูแลเจนิสให้”
“เดี๋ยวพ่อกับแม่คงต้องกลับเลยนะเจนิส ทิ้งทางนั้นมาหลายวันแล้ว มีประชุมสำคัญด้วย อยู่ทางนี้ก็อย่าดื้อกับทุกคนนะ เป็นเด็กดี แล้วจะไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวให้มาก ๆ โอเคไหม”
“โอเคค่ะพ่อ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเจนิสนะคะ”
“อย่าห่วงไปเลยวี พี่พีทหาบอดี้การ์ดไว้ให้เจนิสแล้ว เป็นคนสนิทของพอร์ช คราวนี้ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรกับเจนิสแน่”
“ขอบคุณคุณพีทกับพั้นช์มากนะครับ”
“อืม ไม่ต้องเกรงใจ แกสองคนกลับเถอะ เดี๋ยวตกเครื่อง มีอะไรค่อยโทรคุยกัน”
เมื่อส่งปฐวีกับจริญญาขึ้นรถไปยังสนามบินเรียบร้อยแล้ว พาขวัญกับพริ้มพราวก็พาเจณิสตาขึ้นไปดูห้องส่วนตัวที่จะต้องอยู่นับจากนี้อีกหนึ่งปี...หรือนานกว่านั้น
“ป้าให้แม่บ้านไปขนเสื้อผ้ากับของใช้ทั้งหมดของเจนิสมาไว้ที่นี่หมดแล้วนะจ๊ะ เห็นพ่อเจนิสว่าจะขายห้องนั้นเลย”
“ขอบคุณมากค่ะคุณป้า”
“ห้องเล็กเกินไปไหมจ๊ะ จะให้ป้าทุบห้องข้างกันให้เอาไหม”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะคุณป้า แค่นี้ก็กว้างมากแล้ว ห้องสวยมากเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
“งั้นก็พักผ่อนก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวเที่ยงป้าจะให้แม่บ้านขึ้นมาตาม”
ในห้องอาหารขนาดใหญ่ เจณิสตานั่งตรงข้ามกับพิพัฒน์ เธอเหลือบมองเขาแล้วยิ้มให้แต่คนตัวโตกลับมองเธอนิ่ง ๆ แล้วแค่นหยิ้มหยันก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจเสน่ห์ของเธอแม้แต่น้อยทำเธอหน้าม้าน
มือเล็กกำช้อน เม้มปากแน่นราวเด็กถูกขัดใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเองต่อไปบ้าง
ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเมินใส่คนอย่างเจนิส คอยดูเถอะ เธอจะทำทุกอย่างให้คนอย่างเขามาสยบแทบเท้าของเธอให้ได้เลย
ในขณะที่พิพัฒน์ยื่นมือไปหยิบช้อนกลางในจานผัดผักรวมมิตร เจณิสตาที่ใจตรงกันก็ยื่นมือไปด้วย ทันทีที่มือของทั้งสองต้องกันราวกับมีกระแสไฟวิ่งไหลผ่านทั้งสองร่างจนต้องหดมือกลับอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษ เธอตักก่อนเลย”
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ”
สาวสวยตักอาหารใส่จานตัวเอง ก่อนจะเสหยิบน้ำมาดื่มด้วยรู้สึกประหม่าจนทำตัวไม่ถูก ในขณะที่เจ้าของดวงตาคมกริบซึ่งแอบเหลือบมองเธอทำเพียงยกยิ้มมุมปากเท่านั้น
“แหม ใจตรงกันเลยนะคะ เจนิสรู้ไหมว่าพี่พอร์ชเห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนี้ แต่ใจดีนะ พอรู้ว่าเจนิสกำลังต้องการคนดูแลก็ยกบอดี้การ์ดให้เจนิสมาเลยหนึ่งคน มือดีเลยนะนั่น ขนาดพี่ขอยังไม่ยกให้พี่เลย”
พริ้มพราวเอ่ยแซวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของสาวน้อยเจณิสตาที่ดูจะประหม่าตอนอยู่ต่อหน้าพี่ชายเธอนิดหน่อย แม้แม่จะสั่งห้ามไม่ให้ลูกชายทั้งสองยุ่งเกี่ยวกับนักร้องสาวอย่างเด็ดขาด แต่ของแบบนี้มันห้ามกันได้ที่ไหน
“พูดเกินไปหรือเปล่ายัยพราว ที่พี่ไม่ยกให้เพราะคนของแกก็มี ไหนจะคนที่ว่าที่คู่หมั้นแกส่งมาให้อีกล่ะ จะเอาไปทำไมเยอะแยะ”
พริ้มพราวย่นจมูกใส่พี่ชายด้วยความหมั่นไส้ที่พูดจี้ใจดำ การเอ่ยถึงคู่หมั้นหน้าดุของเธอทำให้ความอยากอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง
“ก็คนของหมอนั่นไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ พราวส่งกลับไปแล้วค่ะ เกิดหมอนั่นสั่งคนพวกนั้นมาลอบฆ่าพราวจะทำไง หมอนั่นมีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้ว พ่อกับคุณลุงจะบังคับให้เราสองคนหมั้นกันทำไมก็ไม่รู้ ล้มเลิกไปเถอะนะคะพ่อ”
“ไม่ได้ พ่อรับปากลุงเขาไว้ตั้งแต่แกยังแบเบาะแล้ว”
“เบื่อจริง พวกมาเฟีย เผด็จการ”
เจณิสตามองคนตัวบางที่กำลังทำทีแง่งอนใส่พ่อและพี่ชายตัวเอง ทั้งยังหาว่าว่าที่คู่หมั้นของตัวเองเป็นมาเฟีย ทั้งที่บ้านตัวเองมียามเฝ้าทั้งหน้าทั้งหลังบ้าน แถมยังมีบอดี้การ์ดเดินตามกันเป็นโขยง ตั้งแต่ที่ไปรับเธอออกจากโรงพยาบาล จนทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับอยู่ในบ้านของมาเฟียอย่างไรอย่างนั้น
และสิ่งที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันก็ทำให้เจณิสตาได้รู้ว่าลูกสาวคนรองของครอบครัวนี้กำลังจะหมั้นหมายกับลูกชายมาเฟีย แล้วแบบนี้ลูกชายคนโตของบ้านจะไม่มีคู่หมั้นอยู่แล้วเหมือนกันหรอกหรือ ถ้าเป็นแบบนั้นแผนการของเธอคงล่มไม่เป็นท่า ด้วยความอยากรู้จึงเอ่ยถามออกไปทันทีตามนิสัยเด็กที่เติบโตมาจากสังคมเสรี
“พี่พราวมีคู่หมั้นแล้วเหรอคะ แล้วแบบนี้พี่พอร์ชกับพี่พิธล่ะ ต้องมีคู่หมั้นหรือเปล่าคะ”
พิพัฒน์เหลือบมองหน้าเด็กสอดรู้ทันทีก่อนกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นเธอจ้องหน้าเขาเขม็ง สายตาบอกให้รู้ว่ากำลังสนใจเขาอยู่
ต่อให้เธอจะสวยเซ็กซี่แค่ไหน แต่อย่าคิดว่าเขาจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงให้หมดอิสรภาพ เขาจะไม่มีทางเข้าใกล้เธอเด็ดขาด ต่อให้ต้องชักตายตรงนี้เพราะขาดผู้หญิงมาบำเรอ เธอก็จะเป็นคนสุดท้ายที่เขาจะสนใจ เพราะถ้าเขายุ่งเกี่ยวกับเธอเมื่อไร แม่ต้องจับเขาแต่งงานเพื่อรับผิดชอบเธอทันทีแน่นอน
เพราะฉะนั้น ผู้หญิงคนนี้คือของต้องห้าม
“พี่สองคนไม่มีคู่หมั้นหรอกครับ ยังโสดทั้งคู่ด้วย แฟนก็ไม่มีนะ”
พิธานพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนักร้องสาวเบิกตาเลิกคิ้วราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด แม้จะไม่ได้เป็นดารา แต่เขาสองคนพี่น้องก็มีข่าวซุบซิบกับดารานางแบบสาวอยู่เสมอ
“เจนิสอย่าไปเชื่อ เจ้าพิธไม่มีแฟนก็จริง แต่ก็ควงผู้หญิงเป็นร้อย ชอบเที่ยวกลางคืน ไม่รู้เที่ยวผู้หญิงด้วยหรือเปล่า ส่วนพี่พอร์ชก็ควงดาราเป็นว่าเล่นเหมือนกัน ล่าสุดน่าจะเป็นเซน่านะ เพิ่งเห็นข่าวไปเมื่อวันก่อนเอง”
เจณิสตาพยักหน้ารับ ดวงตากลมเหลือบมองผู้ชายที่นั่งทำทองไม่รู้ร้อนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขายังคงตักอาหารกินหน้าตาเฉย ก่อนจะชะงักเมื่ออยู่ ๆ เขาก็เหลือบมองเธอด้วยแววตาเย็นชาที่แปลความหมายไม่ออก รู้แค่เพียงว่ามันทำเธอสั่นไปทั้งตัวจนควบคุมไม่อยู่
“พูดมากน่ายัยพราว เรื่องส่วนตัวของพี่ ไม่ต้องมายุ่ง”
“แหม พราวก็ต้องหาข้อมูลจากสื่อเอาสิคะ ก็พี่คบใครไม่เคยบอกที่บ้านเลย พราวกลัวว่าจะช็อกตาตั้งถ้าอยู่ ๆ พี่ก็พาผู้หญิงสักคนเข้าบ้านแล้วบอกว่าพี่ทำเธอท้อง”
“พูดมากจริง ๆ พี่ป้องกันเป็น แล้วก็ไม่ได้คบกับใครด้วย ทำไมต้องพามาแนะนำให้ครอบครัวรู้จัก ไร้สาระ”
“พราวไม่ยุ่งกับพี่พอร์ชแล้วก็ได้ ว่าแต่เจนิสล่ะ มีแฟนหรือยัง เห็นพวกดารานักร้องไอดอลมักจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้นะ ค่ายสั่งห้ามหรือเปล่า”
“ค่ายของเจนิสไม่ได้ห้ามหรอกค่ะ เพื่อนในวงก็เปิดตัวแฟนไปแล้ว แต่เจนิสไม่มีหรอก เพิ่งเรียนจบเองค่ะ ก่อนหน้านี้แทบจะหาเวลานอนไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ต้องออกคอนเสิร์ตก็ถ่ายรายการ ไม่งั้นก็ต้องซ้อมเต้นซ้อมร้อง บางวันก็ต้องเข้ายิมเข้าคลินิกดูแลตัวเอง วนอยู่แบบนี้ แค่จะไปดูหนังยังไม่มีเวลาเลยค่ะพี่พราว”
“โห แล้วแบบนี้หยุดวันไหนล่ะ”
“ไม่มีวันหยุดค่ะ เจนิสไม่เคยมีวันหยุดเลยตั้งแต่ออกอัลบั้ม ช่วงนี้ถือเป็นเวเคชันของเจนิสเลย”
คนตัวบางหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้เห็นว่าตารางงานที่อัดแน่นจนไม่มีวันหยุดจะเป็นเรื่องลำบากอะไรเพราะเธอชินเสียแล้ว
“เธอควรมีวันหยุดบ้างนะ อย่างน้อยก็ได้พักผ่อน นอนอยู่ในห้องนิ่ง ๆ ก็ยังดี”
เสียงทุ้มติดจะเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขากลับทำเธอใจเต้นรัว หัวใจที่ไม่เคยตกหลุมรักใครมาก่อนมันเริ่มจะหวั่นไหวกับเหยื่อคนสำคัญแปลก ๆ จนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกแบบไหนกันแน่