บทที่ 6 ให้เธอเป็นเจ้าสาวแทนฉัน 4

1369 คำ
อมลฉวีรู้สึกว่าลัลล์นลินล้วนมีมากกว่าหล่อน ในขณะที่หล่อนแทบไม่มีอะไรสู้ได้เลย ทั้งที่เกิดมาไม่แตกต่างกัน แต่ลัลล์นลินกลับได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนปรารถนาไปอย่างง่ายดาย ไม่เคยต้องลงทุนลงแรงทำอะไรเลยสักนิด ไม่ว่าจะหน้าตา... เงินทอง... ความสุข... แม้กระทั่งความรักของเจษณะ! ทำไมสายตาเขาถึงมีแต่มัน แต่ไม่เคยมีหล่อน? หล่อนอยู่กับเจษณะมาตลอดตั้งแต่ลืมตา เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่ในวันหนึ่งที่เจ้าสัวนพจูงมือหลานสาวตัวน้อยมาเดินเล่น สายตาของเจษณะก็ตกตะลึง จ้องมองเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงบานสีขาวที่ฉีกยิ้มเขินอาย ท่ามกลางสีม่วงของดอกเบอร์วีน่าที่กำลังแข่งกันเบ่งบานอยู่ในสวน หลังจากนั้นดวงตาที่สวยงามของเขาก็ไม่เคยละไปจากลัลล์นลินอีกเลย... หลังจากนั้นอีกเช่นกันที่หล่อนเริ่มสวมใส่แต่เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่เคยดึงดูดใจเจษณะได้ ไม่เคยเลยสักครั้ง! รัมภาเห็นความเจ็บปวดในแววตาและความข่มขืนที่แสดงชัดบนใบหน้าของลูกสาว ก็ได้แต่ถอนหายใจกลัดกลุ้ม หล่อนตามใจลูกสาวมากเกินไป อมลฉวีจึงไม่รู้ฐานะตัวเองว่าเป็นแค่ลูกคนใช้ในตระกูลสิรพลากร วันๆ คิดแต่จะเอาชนะ ต้องการอยู่เหนือหลานสาวเจ้าของบ้านที่พวกหล่อนคอยรับใช้ หล่อนรู้ว่าอมลฉวีทำไม่ถูก แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ... คนเป็นแม่ย่อมต้องเห็นแก่ตัวเข้าข้างลูกสาวของตัวทั้งนั้น ไม่ว่าสาเหตุของเรื่องนี้จะเกิดจากอะไรก็ตาม ทั้งเจษณะและลัลล์นลินก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับความพิการนี้ของอมลฉวี ถือเสียว่าเป็นสิ่งที่พวกเขา ‘ติดค้าง’ ลูกสาวหล่อน และต้องชดใช้ก็แล้วกัน รัมภาโอบลูกสาวไว้ในอ้อมแขน มือที่หยาบกร้านลูบหัวหล่อนแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรักใคร่ “แม่รู้ว่าหนูอยากอยู่กับคุณชาย แต่สิ่งที่หนูควรทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือบินไปรักษาขาที่อเมริกาให้หาย แล้วรีบกลับมา” อมลฉวีคลายความฉุนเฉียว กอดตอบแม่พลางพยักหน้า “หนูรู้ค่ะ หนูจะรีบบินไปอเมริกาให้เร็วที่สุด และจะกลับมาก่อนหนึ่งปี” อมลฉวีเข้าใจดีกว่าใคร สำหรับเจษณะแล้วขาของหล่อนไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น หล่อนจะเดินได้หรือเดินไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะหล่อนไม่ใช่คนพิเศษที่อยู่ในใจของเขาเสมอมา หล่อนเป็นแค่คนนอกที่ไม่เคยได้เฉียดเข้าใกล้หัวใจเขา ความอ่อนโยนที่เขาทำกับหล่อนเป็นเพียงแค่ความเมตตาเล็กน้อยที่หยิบยื่นให้ เขาจึงพอจะใส่ใจหล่อนขึ้นมานิดหนึ่ง ตั้งแต่รู้เหตุผลข้อนี้ อมลฉวีก็เกลียดขาลีบๆ คู่นี้จับใจ ถ้าหากหล่อนไม่ได้พิการ ถ้าหล่อนสามารถเดินได้ หล่อนก็จะเหนี่ยวรั้งตัวเขาให้อยู่กับหล่อนได้ ไม่จำเป็นต้องมีความรัก... หล่อนจะทำให้เจษณะกลายเป็นของหล่อนให้ได้ แม้จะต้องใช้มารยากี่ร้อยเล่มเกวียนก็ตาม ฉะนั้นตอนนี้ที่สำคัญหล่อนต้องยืนขึ้นมาต่อหน้าเขาให้ได้เสียก่อน จึงจะมีความหวัง สามารถแย่งเขามาจากลัลล์นลินได้อย่างสง่างาม “ตอนนั้นพวกเราอุตส่าห์ใส่ร้ายนังหลิน แต่มันก็ยังจะโชคดีได้หมั้นกับเจษ ครั้งนี้หนูจะไม่ยอมให้มันได้ใจอีกแล้ว หนูจะแย่งผู้ชายของหนูกลับคืนมาให้ได้” “อย่าเที่ยวพูดไปให้ใครได้ยินเชียว หนูต้องเก็บความลับนี้เอาไว้ให้มิด ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด...เข้าใจไหม?” รัมภากำชับเสียงเข้ม ลัลล์นลินกระตุกยิ้มเย็น เกิดความเกลียดชังและเหยียดหยามสองแม่ลุกคู่นี้ขึ้นมาจับใจ กล้าทำผิด แต่ไม่กล้ายอมรับ ซ้ำยังคิดจะปิดบังความชั่วของพวกตัวอีกต่างหาก มันจะไม่สายเกินไปหน่อยหรือ? “ไม่ต้องปิดแล้วละ ฉันได้ยินหมดแล้ว” สองแม่ลูกตาเบิกโพลงเมื่อเห็นหลานสาวคนโปรดของเจ้าสัวนพเดินออกมาด้วยสีหน้าเยียบเย็นจนถึงขั้นน่ากลัว ก่อนที่คนหนึ่งจะเผยความโกรธแค้น ผิดแผกกับตอนที่อยู่ต่อหน้าเจษณะ ส่วนอีกคนสีหน้าซีดเผือด ออกอาการหวาดกลัวจนลนลานทำอะไรไม่ถูก “คุณหนูหลินมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” รัมภาคิดไม่ถึงว่าลัลล์นลินจะปรากฏตัวขึ้นที่ท้ายสวนหลังบ้านเปลี่ยวๆ แบบนี้ หล่อนอุตส่าห์เข็นรถลูกสาวเดินมาตั้งไกลเพื่อหาที่หลบมุมคุยกันเงียบๆ แล้วเชียว ลัลล์นลินมองข้ามหัวคนถาม สายตาจับจ้องไปยังอมลฉวีเขม็ง “ก็นานพอที่จะได้ยินลูกสาวน้ารัมภาสารภาพว่าแกล้งตกบันไดเพื่อเรียกร้องความสนใจคุณเจษณะ และใส่ความหลินนั่นแหละค่ะ” “ในเมื่อแกรู้ก็ดีแล้ว ถ้าไม่อยากเจอดีละก็ ไปจากเขาซะ!” อมลฉวีเชิดหน้าขึ้น เมื่อก่อนหล่อนอาจจะกลัวอำนาจล้นฟ้าของเจ้าสัวที่คุ้มกะลาลัลล์นลินอยู่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอยู่ในกำมือของเจษณะหมดแล้ว แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้อีกไม่นานก็คงเปลี่ยนเจ้าของด้วย หล่อนจึงไม่จำเป็นต้องสร้างภาพเป็นเพื่อนที่แสนดีต่อหน้ามันอีกต่อไป ต่อให้ความแตก! ต่อให้มันรู้เรื่อง! แล้วยังไงล่ะ? ตราบใดที่เจษณะยังอยู่ข้างหล่อน ลัลล์นลินจะมีปัญญาทำอะไรหล่อนได้ “ใครจะเจอดีมันก็ยังไม่แน่ เธอคิดว่าถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกเขา เธอยังจะได้ลอยหน้าอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกเหรอ” อมลฉวีหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “แกคิดว่าเจษจะเชื่อรึไง ต่อให้แกวิ่งแจ้นไปฟ้องเขาตอนนี้ แต่แค่ฉันพูดคำเดียว เจษต้องเชื่อฉันมากกว่าผู้ร้ายปากแข็งอย่างแกอยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าแกเป็นที่ทำให้ฉันพิการนะ ใครๆ ก็เห็นกันเต็มสองตา โดยเฉพาะเจษ” ลัลล์นลินกำมือทั้งสองข้างแน่น แววตาเย็นชาจนแทบจะแช่แข็งอมลฉวีได้ ขณะกัดฟันพูด “เธอนี่มันเลวจริงๆ ตลบตะแลงสองหน้า เจ้ามารยาสาไถยจนฉันยังต้องยอมแพ้” “ขอบคุณที่ชม ทั้งหมดคงต้องยกความดีให้เธอนะหลิน ใครอยากใช้ให้แก ‘โง่’ เองล่ะ” ยิ่งเห็นอมลฉวีลอยหน้ายืดอกรับโดยไม่สำนึก ไม่รู้สึกผิดต่อเธอเลยสักนิด ซ้ำร้ายยังเยาะเย้ยเธอด้วยความสะใจ ลัลล์นลินไม่อาจระงับความโกรธและไม่พอใจที่เพียรเก็บกดไว้ได้อีกต่อไป ระเบิดอารมณ์ด่าทออมลฉวีอย่างควบคุมไม่อยู่ “สารเลว! คนอย่างเธอสมควรแล้วที่จะต้องพิการนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต คนชั่วๆ อย่างเธอสมควรไปลงนรกซะ ฉันขอสาปแช่งให้เธอไม่ตายดี ให้กรรมคืนสนองเธอทั้งชาตินี้และชาติหน้า” “หลิน... เธออย่าโกรธเลยนะ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจใส่ชุดนี้มาหักหน้าเธอเธอจริงๆ เธอต้องเชื่อฉันนะ ฉันกับเจษ...เราไม่ได้ร่วมมือกันอย่างที่เธอคิด จริงไหมคะ...เจษ?” ทีแรกลัลล์นลินงุนงงที่อมลฉวีเปลี่ยนท่าทีหยิ่งผยองกะทันหัน แถมยังพูดเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ แต่พอได้ยินน้ำเสียงแผ่วเบาที่หล่อนจงใจเรียกขานอย่างขลาดกลัว แม้จะเบาแค่ไหน แต่กลับเหมือนระเบิดที่ดังสนั่นก้องอยู่ในใจแล้วลุกลามร้าวไปทั้งแก้วหูของเธอ ลัลล์นลินมองรอยยิ้มเยาะของอมลฉวีที่แอบส่งตรงถึงเธอ ก่อนจะหันหลังขวับ สายตาเย็นชาน่ากลัวที่ใครเห็นก็ต้องตัวสั่นกระแทกใส่ร่างเธอจังๆ มันแหลมคมและแข็งกร้าวเหมือนลิ่มน้ำแข็งที่พุ่งเสียบร่างเธอ และมันบ่งชี้ว่าเขากำลังโกรธจัด!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม