บทที่ 3 ต้องแต่งงาน

1580 คำ
ตอนที่ 3 ต้องแต่งงาน "ไอ้แจน! ทางนี้ๆ" เสียงเรียกของดาวิกาทำให้จิราวดีที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องจัดงานของโรงแรมหรูย่านใจกลางเมืองหันไปมอง ก่อนจะผลิยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปหาดาวิกาที่ยืนสวยๆ อยู่กับวิลาสินี "มากันนานแล้วเหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามเพื่อนทั้งสองคน ก่อนจะหันไปหยิบเครื่องดื่มจากบริกรที่เดินผ่านพอดีมาถือไว้ในมือหนึ่งแก้ว "มาได้สักพักหนึ่งแล้ว แกอะมาช้า" วิลาสินีเป็นคนตอบ ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วเอ่ยแซว "ตั้งแต่วันนั้นก็หายหัวเลยน้า เป็นไงๆ เล่าซิ" เมื่อนึกถึงเรื่องในคืนนั้น จู่ๆ จิราวดีก็รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ เธอยังไม่ได้เล่าเรื่องคืนนั้นให้เพื่อนฟังเลยสักคน ที่ยังไม่เล่าเพราะไม่รู้ว่าจะบอกเพื่อนยังไงให้มันฟังดูดี…ฟังดูไม่เวอร์เกินไป "โอ๊ะ! มีหน้าแดงด้วยล่ะ" ดาวิกาโพล่งขึ้นมาแล้วยิ้มล้อๆ พร้อมกับยื่นหน้ามาส่องจิราวดีที่เบี่ยงหน้าหลบ จิราวดียกแก้วไวน์ในมือขึ้นมากระดกรวดเดียวครึ่งแก้วเพื่อหวังดับความร้อนบนใบหน้า "เฮ้ย! เบาๆ หน่อยสิ นั่นไวน์นะเว้ย เดี๋ยวก็อยู่ไม่ถึงอาฟเตอร์ปาร์ตี้หรอก" วิลาสินีรีบเอ่ยเตือน เพราะเพื่อนเพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในงานไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ มีที่ไหนมากระดกไวน์ทีละครึ่งแก้วแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้เมากันพอดี "แล้วยังไง สอยหนุ่มฮอตโพรไฟล์เริดไปได้ขนาดนั้น ไม่คิดจะเล่าให้เพื่อนฟังเลยหรือไง คิดจะเก็บไว้คนเดียวงี้?" "กะ…ก็มันไม่มีอะไรจะเล่า" จิราวดีบอกเพื่อนอย่างไม่กล้าสบตา ที่เธอบอกไม่มีอะไรจะเล่าน่ะ เธอโกหก เพราะความจริงแล้วเรื่องที่จะเล่ามันมีมากมายเลยล่ะ แต่เธออาย วิลาสินียกมือขึ้นกอดอก หรี่ตาลงมองจับผิดเพื่อน ก่อนจะเรียกดาวิกาโดยไม่ละสายตาไปจากจิราวดีเลยแม้แต่น้อย "ดิว" "ฮะ?" ดาวิกาขานรับอย่างตื่นๆ เพราะจู่ๆ ก็ถูกเรียก "แกช่วยบอกฉันหน่อยสิ ว่าตอนนี้ยายแจนไม่ได้มีพิรุธอะไรเลย" ดาวิกาหันไปมองจิราวดี ก่อนจะเบะปากคว่ำอย่างหมั่นไส้ "เด็กอนุบาลสองยังดูออกเลยมั้ง เล่าๆ มาเถอะค่า" "แกคิดเอาละกัน คนหัวช้าอย่างไอ้ดิวยังดูแกออกเลย" "ใช่ๆ เล่ามาเถอะ" ดาวิกาพยักหน้าเห็นด้วย แล้วหยุดคิดไปแป๊ปหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ใครพูด เพราะเริ่มรู้สึกเอะใจกับประโยคที่เพื่อนพูดเมื่อสักครู่ "เดี๋ยวก่อนนะวิว เมื่อกี้แกว่าฉันหรือว่า ไอ้แจนกันแน่อะ ที่บอกว่าหัวช้าคือว่าฉันใช่มะ" "ว่ามัน" วิลาสินีหันไปมองดาวิกาแว๊บหนึ่งด้วยสีหน้ายุ่งๆ แล้วบุ้ยหน้าไปทางจิราวดีแบบส่งๆ ดาวิกาจึงเอามือลงพร้อมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะกลับไปสนใจเรื่องของจิราวดีอีกครั้ง แล้วจิราวดีก็ต้องถอนหายใจออกมาในที่สุด เพราะเพื่อนยังไงก็เป็นเพื่อน ถึงแม้ตัวจะห่างๆ กันไปบ้างช่วงที่เธอไปเรียนต่อ แต่ความสนิทก็ยังอยู่เหมือนเดิม คิดจะปิดอะไรพวกมันไม่ได้สักอย่างเลยสินะ "เฮ้อ…โอเคๆ แต่รอยายกานต์มาก่อนแล้วกัน ค่อยเล่าทีเดียว" และจะได้อายทีเดียวด้วย อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายเท่าไหร่หรอก แต่ที่บอกว่าอายคือเธออายตัวเองมากกว่า ที่อวดดีไม่ดูสังขารตัวเองว่าไหวหรือเปล่า เพราะหลังจากวันที่เธอไปนอนกับผู้ชายคนนั้น ก็ผ่านมาสองวันแล้ว แต่เธอก็เพิ่งลุกจากเตียงได้เมื่อเย็นที่ผ่านมานี้เอง ไม่ได้ป่วยหรือว่าไม่ได้สบายอะไรทั้งนั้น เพียงแต่เธอไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะทำอะไรเลย คืนนั้นหลังจากเขาถอดถุงยางชิ้นที่สาม หรือชิ้นที่เท่าไหร่ไม่รู้ทิ้งลงถังขยะไป เธอก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย จากตอนแรกที่จะไม่ค้างห้องของเขาก็ได้ค้าง รู้สึกตัวตื่นมาอีกทีก็บ่ายกว่าๆ เขาก็ไม่อยู่ห้องแล้ว แต่เขียนโน้ตทิ้งไว้ข้างๆ บราปีกนกของเธอที่วางอยู่โต๊ะข้างเตียงว่า… ‘ผมต้องไปทำงาน มีข้าวต้มอยู่ในครัว’ เธอจึงค่อยๆ คลานลงจากเตียง รู้สึกเมื่อยขบและระบมไปทั้งตัว พลางคิดในหัวว่าถ้าเขาไม่หยุดเธอต้องตายแน่ๆ เธอฝืนเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพียงน้อยนิด หยิบเสื้อผ้าของเธอที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยแล้ววางไว้บนโต๊ะในห้องนอนขึ้นมาสวม หยิบกระเป๋าและสมาร์ตโฟนที่วางไว้ใกล้ๆ ขึ้นมาถือ แล้วเดินลากเท้าไปดูข้าวต้มที่เขาบอก เธอเปิดหม้อดูก็เห็นว่ามันเย็นมากแล้ว คาดว่าเขาคงออกไปทำงานตั้งแต่เช้าเลย เธอไม่ได้ทานข้าวต้มที่เขาเตรียมไว้ให้ และตัดสินใจโทร. ให้คนที่บ้านมารับ แล้วฮึดแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ลากสังขารตัวเองออกจากคอนโดฯ ของเขาไป พอกลับถึงบ้านเธอก็ตรงไปยังห้องนอน ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับไปทันที ช่วงเย็นของวันนั้นก็ตื่นขึ้นมาทานข้าวที่แม่บ้านยกขึ้นมาให้ถึงห้องนอน กินอิ่มแล้วก็นอนพักต่อ เธอเป็นแบบนั้นวนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเย็นวันนี้นี่แหละ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าวันนี้ไม่ใช่วันแต่งงานของกานต์พิชชาเพื่อนสนิทเธอ เธอจะลุกออกจากเตียงได้หรือเปล่า "แก!!" หญิงสาวทั้งสามคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่หันไปมองตามเสียงเรียก พร้อมกับเจ้าสาวที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นถกกระโปรงฟูฟ่องขึ้นแล้วรีบเดินไวๆ เข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นๆ "มีอะไรอะ" ดาวิกาหญิงสาวผู้ชื่นชอบเรื่องของชาวบ้านเป็นชีวิตจิตใจถามขึ้นด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นทันทีเมื่อกานต์พิชชาเดินเข้ามาถึง กานต์พิชชาหันไปมองหน้าจิราวดีแล้วเอ่ยถาม "แกรู้ไหมว่าวันนี้ฉันเจอใคร" "หือ" จิราวดีทำหน้างง "ใคร?" "เออ เจอใครวะ?" ดาวิกาถามขึ้นอีกครั้ง ส่วนวิลาสินีนั้นรอฟังอย่างเงียบๆ "ก็ผู้ชายคนที่แกซิวไปวันนั้นไง เขามางานแต่งฉันด้วย" "มาได้ไงอะ" วิลาสินีถามขึ้นมาบ้าง ซึ่งเป็นคำถามที่จิราวดีก็อยากถามเหมือนกัน "เขาเป็นเพื่อนกับสามีฉัน ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกัน" กานต์พิชชาว่า "บอกเลยว่าโคตรหล่ออะ แต่งตัวเรียบๆ ไม่ได้แต่งอะไรมาก แต่หล่อมาก" "เหรอๆ แล้วเขาไปไหนแล้วอะ" ดาวิกาทำสีหน้าตื่นเต้นพร้อมชะเง้อคอมองหา เพื่อนบอกว่าหล่อ ก็เลยอยากเห็นบ้าง "เขากลับไปแล้ว เห็นบอกว่าอยู่ได้แค่แป๊ปเดียวเพราะมีเคสด่วน ต้องรีบกลับโรง’บาล" กานต์พิชชาบอกเพื่อน "แก เอาจริงนะ ฉันก็เพิ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าเพื่อนสามีฉันมีแต่งานดีๆ ทั้งนั้น แล้วแต่ละคนก็รวยมากด้วย!" "โห แนะนำบ้างสิ เพื่อนแกมีแต่คนโสดๆ นะ แถมสวยมากด้วย" ดาวิกาว่า "ก็อยากจะแนะนำอยู่หรอก แต่กลัวเขารับความปัญญาอ่อนของแกไม่ได้" "ไอ้กานต์! นี่เพื่อนนะ นี่ดิวเพื่อนแกเอง ลืมแล้วเหรอ" ดาวิกาทำหน้ามุ่ยที่โดนเพื่อนจิกกัด ส่วนกานต์พิชชาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี "เดี๋ยวก่อนนะ" จิราวดีเอ่ยขึ้น เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ทั้งสามคนจึงหันมามองหน้าเธอเพื่อรอให้เธอจะพูดอะไร "กานต์ ทำไมแกถึงเพิ่งได้รู้ว่าเพื่อนสามีแกมีแต่งานดีๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพาแกไปเจอเพื่อนเขาเหรอ" "เออว่ะ จริงด้วย" วิลาสินีคิดตามที่จิราวดีพูดก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที ส่วนดาวิกาไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รอฟังอย่างตั้งใจ โดยปกติแล้วคนที่เป็นแฟนกันหรือคนที่กำลังจะแต่งงานกัน ส่วนมากมักจะพาอีกฝ่ายไปเจอและแนะนำให้เพื่อนสนิทของตนได้รู้จัก แต่กานต์พิชชากลับบอกว่าเพิ่งจะได้รู้จักเพื่อนของสามี แล้วพอมาคิดๆ ดู กานต์พิชชาเองก็ไม่เคยพาสามีของตัวเองมาเจอเพื่อนเหมือนกัน เพิ่งจะได้เห็นหน้าคร่าตาแบบจริงจังก็ตอนขึ้นเวทีเมื่อครู่ใหญ่ๆ ที่ผ่านมานี่เอง ก่อนหน้านั้นเห็นเพียงในรูปถ่ายพรีเวดดิ้งที่กานต์พิชชาส่งมาให้ดูก็เท่านั้น เรื่องนี้ชักแปลกๆ เสียแล้วสิ "แล้วอีกอย่างแกก็ไม่เคยพาสามีแกมาเจอพวกฉัน มีอะไรที่พวกฉันยังไม่รู้หรือเปล่า"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม