เช้าตรู่ เสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าประตู บอกกล่าวให้ทั้งคู่เตรียมตัว ซึ่งคนที่ตื่นเช้าเป็นปกติ ก็จัดการทำธุระเรียบร้อยแล้ว และนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยชุดเจ้าสาว พร้อมกับผ้าคลุมหน้า
ร่างสูงของไป่จิ้งโหวเดินเข้ามาพร้อมคนสนิท ทว่าเขาก็ยืนขนาบข้างมู่หยาง เพราะยังต้องแสดงเป็นคนสนิทของตนเองอยู่ ซึ่งมันสนุกกว่าจะเผยตนให้สตรีบ้านนอกผู้นี้รู้ นางยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมาก
“ลำบากคุณหนูหรงแล้ว คงต้องให้ท่านเดินทางด้วยอาภรณ์ชุดเก่าไปก่อน ถึงเมืองหลวงแล้ว เราจะจัดชุดที่งามกว่านี้ให้นะขอรับ” มู่หยางผู้รับหน้าที่เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะใต้เท้า คุณหนูข้าน้อยไม่ถือสาเรื่องนี้ ว่าแต่เราจะไม่ทานอาหารกันก่อนหรือเจ้าคะ คุณหนูข้าน้อยนางชอบกิน หากไม่มีอันใดตกถึงท้องก่อนเดินทางคงทรมานแย่” เสี่ยวมี่เอ่ยบอกเรื่องสำคัญ
“เราเตรียมไว้ให้บนรถม้าแล้ว หากไม่รีบออกเดินทางประเดี๋ยวจะถึงเมืองหลวงมืดค่ำ ขอคุณหนูโปรดเข้าใจ” ไป่จิ้งเอ่ยขึ้นเอง เพราะเบื่อที่จะต้องมารอใครเช่นนี้
“เช่นนั้นก็ออกเดินทางเถอะ” เสียงหวานเปล่งออกมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำทั้งหมดออกไป
“หึ…หวังว่าจะว่าง่ายเช่นนี้ไปตลอดนะ” ไป่จิ้งยังไม่วายเอ่ยเหน็บผู้ที่เดินลงบันไดไปแล้วในยามนี้ ซึ่งมีสาวใช้ประคองท่ามกลางสายตาของแขกที่มาพักเช่นกัน
“น่าแปลกนะเจ้าคะ ไยพวกเขาจึงไม่เอ่ยถามเรื่องเมื่อวานเลยสักนิด หรือคิดจะจัดการเราภายหลัง”
“อาจเป็นได้ เอาไว้ขึ้นรถม้าแล้วเราค่อยหารือกันเถอะ” เอ่ยกับคนของตนเบาๆ
เพราะรับรู้ถึงเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้มาก จึงไม่อยากให้คนของท่านโหวรับรู้การพูดคุย
รถม้าคันใหญ่จอดรอที่หน้าโรงเตี๊ยม ซึ่งซูหลินก็เดินขึ้นไปตามด้วยเสี่ยวมี่ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่กับผู้เป็นนาย ต่างจากคราแรกที่ออกมาจากเมืองเจียง
ทว่าก็มีร่างสูงของไป่จิ้งตามขึ้นมาด้วย ทำเอาเสี่ยวมี่ถึงกับต้องแหวใส่เขาทันที เพราะไม่เหมาะสมนักหากบุรุษอื่นจะขึ้นมานั่งกับเจ้าสาวที่กำลังเดินทางไปแต่งงาน
“นี่ใต้เท้าลงไปนะ ท่านก็รู้ธรรมเนียมดีว่าสตรีที่กำลังจะออกเรือนไม่ควรอยู่ใกล้บุรุษอื่น ท่านจะรังแกกันมากเกินไปแล้วนะ” นางไม่เอ่ยเปล่าทว่าชี้หน้าเขาด้วย
คนถูกตำหนิไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขายื่นมือออกมาโบกออกคำสั่งกับคนของตน ก่อนจะนั่งนิ่งเปิดม่านขึ้นเพื่อมองออกไปนอกรถม้า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้สตรีทั้งสองตำหนิเขาอีก ทำเอาเสี่ยวมี่ถึงกับค้อนควับเข้าให้ เพราะการหารือที่คิดว่าจะมีขึ้นก็เป็นอันมลายสิ้น
การเดินทางผ่านมากว่าสองชั่วยาม ทำให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ท่าเดียวเริ่มอึดอัด อยากจะบิดขี้เกียดทว่านางก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีคนของท่านโหวนั่งอยู่ด้วย
“เอ่อ…ใต้เท้าเราไม่คิดจะหยุดพักสักนิดหรือเจ้าคะ ข้าน้อยนั่งจนตัวชาไปหมดแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ นะเจ้าคะ”
เมื่อทนต่อไปไม่ได้ ซูหลินจึงเอ่ยกับคนตัวโตเสียงอ่อน ไป่จิ้งยกยิ้มเพราะเขาเองก็ล้าแล้วเช่นกัน เพียงแต่อยากรู้ว่าสตรีตัวน้อยจะอดทนได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง จึงไม่ออกคำสั่งให้พักทั้งที่เดินทางกันมาครึ่งวันแล้ว
เขาไม่เอ่ยอันใด ทว่ายื่นมือออกไปส่งสัญญานกับคนของตน ไม่นานขบวนก็หยุดลงที่ศาลาพักม้า ซึ่งบรรยากาศร่มรื่นมาก มีบึงน้ำขนาดใหญ่พอให้ได้ชำระเนื้อตัว และสำหรับม้าที่หิวกระหายจากการเดินทาง
“เจ้าลงไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับคุณหนูหรง” เขาสั่งเสี่ยวมี่ ทว่านางก็ยังลังเล เพราะเกรงว่าองครักษ์ผู้นี้จะรังแกผู้เป็นนาย เพราะท่าทางเขาเหมือนจะเป็นหัวหน้า
จึงได้ดูแข็งกร้าวและไม่ค่อยพูดจา ทว่ายามนี้กลับขึ้นมาโดยไม่กลัวคำครหาที่จะตามมาสักนิด
“พี่ลงไปก่อนเถอะ ใต้เท้าเป็นคนของท่านโหว เขาไม่ทำอันใดข้าหรอก” เอ่ยบอกพร้อมกับวางมือทับมือสาวใช้แล้วตบลงเบาๆ เพื่อให้นางไม่ต้องกังวล
“เหตุใดคุณหนูหรงซึ่งอยู่แต่ในจวน ไม่ค่อยได้ออกข้างนอกถึงรอบรู้เรื่องวรยุทธ์นัก” เขาถามทันทีเมื่อสาวใช้ออกไปพ้นม่านประตู คนตัวเล็กเผยยิ้มบางภายใต้ผ้าแดงที่ยังปกคลุมใบหน้าของตน
“เหตุใดใต้เท้าไม่รอถามต่อหน้าท่านโหวล่ะเจ้าคะ ข้าน้อยจะได้ไม่ต้องตอบหลายครา” นางยังคงเอ่ยเสียงหวานกับเขา ทว่าประโยคนั้นมันก็ดูยอกย้อนอยู่หน่อยๆ
ทำเอาท่านโหวผู้มีแต่คนเกรงกลัวถึงกับขบกรามแน่น เพราะไม่เคยมีใครกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเขาเลย ทว่ามันก็ไม่แปลก เพราะนางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร คุณหนูหรงคงเข้าใจอย่างที่เห็น ว่าเขานั้นเป็นเพียงองครักษ์ของท่านโหว และต่อไปนางก็จะเป็นเจ้านายเขาเช่นกัน จึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเขากระมัง แต่สุดท้ายนางก็เอ่ย
“แต่เอาเถอะ ข้าจะบอก” เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาให้ตนภายหน้า หากทำให้คนของท่านโหวเคืองขุ่น ซูหลินจึงเอ่ยบอกความจริงกับเขา จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่
“ว่ามา” เสียงกดต่ำส่งมาบังคับทันที เพราะเขาไม่ชอบท่าทางพิรี้พิไรของว่าที่เจ้าสาวเลย มันทำให้เขารู้สึกราวกับเป็นลูกไล่ของนาง ทั้งที่ควรเป็นอีกฝ่ายต้องกลัวเขา
“ข้าฝึกเอง ตอนที่ผู้คนหลับแล้ว ไม่มีอาจารย์ ไม่มีคนสอน ข้าเก่งจึงทำให้เรียนรู้ได้ดีและไวกว่าผู้อื่น จบนะ ไม่ต้องสงสัยอันใดอีกเพราะบอกไปหมดแล้ว ข้าจะลงไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย หลีกทางด้วย”
เอ่ยกับเขาราวกับตนนั้นพูดกับคนยุคปัจจุบัน เพราะคนหิวเริ่มมีอาการหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว ด้วยนิสัยห้าวๆ ที่มันไม่อาจแก้ได้ ทว่ามันกลับจุดชนวนให้ท่านโหวรู้สึกขุ่นมัวไม่ต่างกัน เขาจึงรั้งแขนว่าที่เจ้าสาวจนเซล้มกับพื้น
ผ้าคลุมปิดหน้าเปิดออกทันที มิหนำซ้ำกาน้ำชายังคว่ำจนหกลดลงมายังใบหน้าด้านที่มีแผลเป็น เสียงร้องเพราะตกใจดังขึ้น ทำให้ผู้ที่ก่อเหตุถึงกับหน้าเสีย เพราะเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ไป่จิ้งตกใจไม่น้อยรีบประคองนางขึ้นแล้วซับหน้าให้ เพราะเกรงว่าน้ำชานั้นมันจะร้อนจนทำให้บาดแผลนี้ใหญ่กว่าเดิม
“ขะ…ข้าขอโทษ” กล่าวคำที่ไม่เคยเอ่ยกับใครออกมา ทว่ามือเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อบาดแผลบนหน้านางมันลอกออก จนเขาไม่อาจนั่งดูเฉยๆ ได้ ต้องใช้นิ้วเขี่ยสิ่งที่เปื่อยยุ่ยออกมาจากแก้มของสตรีตรงหน้าทันที
“นี่เจ้าไม่ได้อัปลักษณ์หรอกหรือ” แผ่นแป้งสีแดงเหนียวติดมือออกมา ทำเอาท่านโหวถึงกับนั่งนิ่ง มองสตรีเบื้องหน้า ซึ่งยังมีรอยแดงของแผลเป็นติดอยู่ครึ่งหนึ่ง
“ร้ายกาจนัก ไม่รู้นางยังมีเรื่องใดปิดบังไว้อีก ไว้ใจไม่ได้จริงๆ” เขานึกในใจพร้อมกับจ้องหน้านางเขม็ง