ตอนที่ 10
หายแสบรึยัง?
“เดี๋ยวให้สมชายไปส่ง”
นกุล เอ่ยบอกเมื่อเห็นคนตัวเล็กลุกขึ้นและจัดการแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้ว ทว่าใบหน้าสวยหวานนั้นก็ไม่หันมามองเขาแม้แต่น้อย ได้เพียงแต่ส่ายหน้าปฏิเสธไปมา
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พอดีผึ้งให้น้องชายมารับ”
หญิงสาวเบี่ยงหน้าหลบ ความเขินอายมากมายยังไม่สามารถสลัดออกไปจากหัวได้ ขณะที่คุณหมอรูปหล่อยังคงวางสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่ทุกข์ร้อนในท่าทีของเธอ เหมือนเพิ่งตรวจคนไข้ปกติไปหมาดๆ
สำหรับเขามันเป็นเรื่องปกติหรืออย่างไร
“คราวหลังไม่ต้องให้มารับหรอก พี่เลี้ยงที่นี่มีบริการรถรับส่งอยู่แล้ว อีกอย่างหากผึ้งผ่านการทดลองงานสองสัปดาห์ ต่อไปอาจจะต้องพักอยู่ที่นี่เป็นบางคืน”
“พักที่นี่?”
“เพื่อการดูแลเด็กให้ดีที่สุด พี่เลี้ยงสมควรต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็กให้มากที่สุดที่ผ่านมาก็เป็นแบบนั้น เพราะเวลาค่ำและกลางคืนเป็นเวลาสำหรับการละลายพฤติกรรมที่สุด”
มันก็ใช่นะ
“.....”
แต่ช่างเถอะ ไม่รู้เธอจะผ่านโปรในช่วงสองสัปดาห์นี้หรือเปล่า เพราะเท่าที่ทราบช่วงหลังนี้ไม่เคยมีใครจะผ่านได้สักคน บางทีอาจมีอะไรที่เป็นการทดสอบความสามารถรอเธออยู่ก็ได้
“แต่ถ้าผ่านการทดลองแล้วต้องค้างอยู่ประจำ ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้เป็นเจ็ดหมื่นบาทต่อเดือน”
เจ็ดหมื่นบาทต่อเดือน!!
ค่อยมีกำลังใจขึ้นหน่อย
“ผึ้งจะทำหน้าที่ให้เต็มที่ค่ะ”
.
.
นกุล ยืนมองจากกระจกใสหน้าต่างชั้นสองของบ้าน เห็นพี่เลี้ยงสาวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเด็กหนุ่มที่จอดอยู่นอกรั้วแล้วขับไป เขามองจนทั้งสองลับตาหายไปในความมืด จึงผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในห้องนอนอีกฝั่ง เปิดประตูเข้าไปยังห้องนอนของลูกสาวสุดที่รักทั้งคู่
สองฝาแฝดกำลังหลับสนิทและส่งเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ชายหนุ่มยืนมองอยู่เพียงครู่ ก่อนจะปิดประตูไว้ดังเดิม แล้วกลับมายังห้องนอนของตัวเอง
หลังจัดการธุระส่วนเสร็จ ร่างหนาก็เดินออกมานั่งยังโซฟายาวกลางห้อง ดวงตาคู่สีนิลมีแววครุ่นคิดถึงหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่นานนักสายจาก สิปปกร เพื่อนสนิทก็ดังขึ้น
“ว่าไง?”
(ไอ้เหงียนเซบาสเตียนมันรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังขยับไม่ได้มาก ตอนนี้กูให้คนของกูเฝ้าไว้ที่บ้านพักของกู ไอ้พวกเหี้ยนี่มันไม่ธรรมดา เป็นพวกมาเฟียแฮกเกอร์มืออาชีพ ข้อมูลสำคัญหลายหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชนอยู่ในมือพวกมันหมด)
น้ำเสียงของเพื่อนสนิทเคร่งเครียดจนเขาสัมผัสได้
“อือ ถึงต้องไม่ให้มันตายไง”
(ไอ้พวกนั้นคงไม่คิดว่าเราจะช่วยมันจากกลุ่มวิมานทรัพย์ได้ ขนาดกลุ่มดอกแก้วทองเองมันยังเจาะไปได้ง่ายๆ ยังไงข้อมูลสำคัญของโรงพยาบาลมึง ต้องเอากลับมาให้ได้)
ถ้าพวกเขาเป็นนักรบ สิปปกร ถือว่าเป็นฝ่ายบู๊ที่ดูแลฉากหน้าในการปะทะกับกลุ่มฝั่งตรงข้าม ส่วนเขาเป็นผู้เก็บกวาดขยะต่างๆที่เกิดจากการดำเนินงานเหล่านั้น โดยมี อคิณ ปุณณ์และวิช ช่วยเสริมในแต่ละด้าน
แม้เขาและเพื่อนๆจะดำเนินธุรกิจที่ขาวสะอาดมาตลอด แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอคู่แข่งแบบหมาลอบกัดลักษณะนี้อยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องขาวและเทาสลับกันไป
ทั้งการทำธุรกิจและการรักษาคน
มีทั้งทำเพื่อจรรยาบรรณ และทำเพื่อเหตุผลส่วนตัว
ดั่งเช่นกรณีของ เหงียน เซบาสเตียน ในคืนนั้นที่ฮิพผับ
(ว่าแต่มึงคิดดีแล้วเหรอที่เอาสาวไรเดอร์นั่นไปเป็นพี่เลี้ยงลูกมึง มั่นใจได้แค่ไหน?ให้เข้านอกออกในบ้านแบบนั้น?)
เพราะความสนิทสนมดั่งครอบครัวเดียวกัน สิปปกร จึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เพราะที่ผ่านมานั้นคนอย่าง นกุล ณรงค์โชติ ไม่เคยไว้วางใจใครง่ายๆ ยิ่งคนที่มาชิดใกล้กับลูกสาวฝาแฝดทั้งสองเขาค่อนข้างคัดแล้วคัดอีก
นั่นทำให้เพื่อนหนุ่มค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย
ทว่าหมอหนุ่มกลับตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อืม ..กูคิดดีแล้ว มึงไม่ต้องห่วง”
.
.
การดูแลเด็กแฝดทั้งสองนั้นไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่น้ำผึ้งคิดในตอนแรกสักเท่าใด ตอนเช้าจะมีคนขับรถชื่อ สมชาย ไปรับเธอที่บ้านตั้งแต่ตีห้าครึ่งและเธอจะมาถึงประมาณหกโมงเช้า มาช่วยแม่บ้านเตรียมของและคุยกับเด็กให้แต่งตัวและทานข้าวเช้า พร้อมนั่งรถไปส่งที่โรงเรียน จากนั้นก็ไปส่งเธอที่บ้าน
และคนรถจะไปรับเธออีกทีประมาณบ่ายสองโมงเพื่อพาเธอไปรับเด็กทั้งสองที่โรงเรียนอนุบาลและนั่งรถกลับด้วยกัน
“วันนี้ครูให้วาดรูประบายสี หนูวาดเอลซ่าด้วยแหละ”
ทั้งคู่อวดรูปแม่มดน้ำแข็งให้เธอดูเมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว ของแฝดผู้น้องนั้นเหมือนจะระบายสีได้เรียบร้อยและสวยงามดูดีกว่ารูปวาดของแฝดผู้พี่
“สวยทั้งคู่เลยค่ะ แต่เหมือนจะยังระบายสีไม่เสร็จใช่มั้ย เดี๋ยวเรากลับไประบายให้เสร็จกันที่บ้านเนาะ”
“ระบายเสร็จแล้วค่ะ”
พลอยใสเอ่ยเสียงอ่อย “หนูว่าเอลซ่าควรจะใส่กระโปรงสีนี้ ใส่สีฟ้าไม่เห็นสวยเลย ทำไมจะต้องใส่สีนี้ด้วย”
“ก็ในเพลงเอลซ่าใส่กระโปรงสีฟ้านี่คะพี่พลอยใส”
แฝดผู้น้องแย้งกลับ ก่อนจะชูกระดาษในมือให้พี่สาวดู แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจ และหันหน้ามาหาพี่เลี้ยงคนสวย
“พี่ผึ้งว่าเอลซ่าใส่กระโปรงสีดำจะสวยกว่ามั้ยคะ”
น้ำผึ้ง เพ่งมองรูปในมือเด็กหญิงอย่างครุ่นคิด สีที่ระบายในแผ่นเด็กแฝดผู้พี่ใช้เป็นโทนสีดำขาวเกือบทั้งหมด จะมีสีม่วงผสมไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ให้ภาพลักษณ์ที่ดูหม่นเศร้าแปลกๆ
และภาพทุกภาพที่พลอยใสระบายจะเป็นแบบนั้น
“สีทุกอย่างมีความงามของมันเองจ้ะ ถ้ามันเหมาะสมกับเหตุการณ์และสถานที่ เราเรียกสิ่งนั้นว่ากาลเทศะ”
เธออธิบายเด็กหญิงอย่างใจเย็น
ดวงตากลมเม็ดลำไยนั้นสุกสกาวขึ้น หน้าเล็กเอียงคอเล็กน้อยจนผมเปียแกว่งไปมา
“กาลเทศะ?”
“ใช่ค่ะ ถ้าหากเอลซ่าใส่ชุดสีนี้ไปงานที่เป็นทางการหรืองานไว้อาลัยก็เหมาะ แต่ถ้าต้องใส่ไปงานราตรีหรืองานสังสรรค์รื่นเริงก็ต้องใส่สีสันสดใส”
พี่เลี้ยงสาวตอบไปตามความเป็นจริง
เหมือนเด็กหญิงทั้งคู่จะอึ้งไปเล็กน้อย
“วันที่หนูไปส่งแม่นิภาไปสวรรค์ ทุกคนก็ใส่สีนี้คุณพ่อขาก็ด้วย หนูอยากวาดสีนี้ให้เอลซ่า”
พลอยใสเอ่ยเสียงอ่อย
“ก็ใช่ไงค่ะ ตอนนั้นทุกคนต้องให้เกียรติคุณแม่ของหนูด้วยการใส่ชุดนี้ แต่หลังจากนั้นคุณแม่ก็คงอยากเห็นหนูทั้งสองและคนอื่นที่เฝ้ามองจากด้านล่างมีความสดใส เพราะฉะนั้นหนูจะต้องมีรอยยิ้มและความสุขนะคะ”
น้ำผึ้งดึงร่างเล็กเข้ามากอด
“จริงเหรอคะ?”
“จริงแน่นอนเลยค่ะ”
“งั้นหนูจะวาดดอกโบตั๋นสีเหลืองและดอกกุหลาบสีชมพูลงไปด้วยนะคะ”
“เยี่ยมเลยค่ะ”
.
.
“วันนี้คุณหนึ่งติดงานด้านนอก อาจจะกลับดึกๆเลยค่ะ ส่วนคุณท่านมีงานสังสรรค์กับเพื่อนด้านนอกเช่นกัน แจ้งว่าให้คุณผึ้งทานมื้อเย็นกับคุณหนูทั้งสองได้เลยค่ะ”
ป้าว่าน บอกเธอเช่นนั้นเมื่อมาถึงบ้าน นั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งใจ ด้วยตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าเขา เพราะเหตุการณ์การตรวจแผลด้านล่างของเธอเมื่อวานนั้น ยังตราตรึงในโสตประสาท และไม่ว่าเธอจะสลัดออกจากหัวอย่างไรก็สลัดไม่ออกทั้งวัน
การที่ไม่ต้องเจอหน้าเขาจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า
หญิงสาวจึงใช้เวลากับเด็กทั้งคู่อย่างเพลิดเพลิน
จากที่คิดว่างานพี่เลี้ยงเด็กจะเป็นเรื่องเครียด เมื่อได้พูดคุยและใกล้ชิดกับเด็กทั้งสองมากขึ้น เธอกลับรู้สึกสนุกและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะที่ผ่านมาเธออยากมีน้องหรือหลานผู้หญิงมาตลอด แต่กลับมีแต่น้องชายที่กวนบาทากันอยู่ทุกวัน
การได้ดูแลเด็กทั้งสองจึงทำให้เธอมีความสุขมาก
.
.
(เป็นยังไงบ้าง?)
เสียงถามทุ้มต่ำของคุณหมอจากปลายสายเมื่อเธอกดรับทำให้สองแก้มของน้ำผึ้งผ่าวร้อนขึ้นแทบจะทันที
“เรียบร้อยดีค่ะ วันนี้น้องพลอยใสระบายสีและเขียนตัวหนังสือให้ดูเพิ่มหลายคำ”
เธอรายงานเขาไปตามความเป็นจริง ด้วยวันนี้มีครูสอนพิเศษภาษาจีนมาสอน เป็นครูผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบกว่าๆท่าทางใจดี และเธอก็ร่วมฟังกับเด็กทั้งสองอย่างตั้งใจ และเห็นว่าพรุ่งนี้จะมีครูผู้ชายมาสอนคณิตศาสตร์เพิ่ม
เด็กสี่ขวบต้องเรียนอะไรหนักขนาดนี้กัน
“ขอบใจมากครับ”
น้ำเสียงเขาอ่อนลง น้ำผึ้งได้ยินเสียงจอแจคาดว่าเขาน่าจะยังอยู่ที่โรงพยาบาลเอ็กซ์วัน และได้ยินเสียงที่น่าจะเป็นผู้ช่วยของเขาอยู่ข้างๆ
“คุณหมอไม่ต้องกังวลนะคะ ผึ้งดูแลคุณหนูทั้งสองอย่างดี”
อย่างน้อยเธอก็อยากจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามกลับมา
“แล้วตรงนั้นหายแสบรึยัง?”
**************