ตอนที่ 15
ติดค้าง
เพราะการได้รับการจัดให้น้องชายของเธอได้พักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาล น้ำผึ้ง เลยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมีใครมาอยู่เฝ้า เธอจึงให้มารดากลับไปพักผ่อนที่บ้านและเอาของใช้ส่วนตัวเพื่อมาที่นี่อีกทีในตอนเช้าโดยให้เม่นไปส่ง กระนั้นผู้สูงวัยก็ยังมีสีหน้าที่ฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะมีพยาบาลดูอยู่แล้ว กลับไปนอนพักดีกว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยมา ไอ้เหนือมันไม่เป็นไรหรอกหมอบอกโดนแค่ถากๆเท่านั้น”
“ก็ได้ ยังไงผึ้งก็ดูแลตัวเองนะลูก”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะแม่ ..เม่นพี่ฝากส่งแม่ด้วยนะ”
“ครับพี่ผึ้ง”
น้ำผึ้งยืนมองรถมอเตอร์ไซค์ของเม่นที่พาแม่ซ้อนท้ายกลับบ้านจนลับตา ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างครุ่นคิด
ด้วยความสงสัยว่าอยู่ดีๆ ทำไมน้องชายถึงโดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ เพราะทางตำรวจจับคู่กรณีได้แล้วก็บอกว่าเป็นการเขม่นและทะเลาะเบาะแว้งกันธรรมดา แต่ที่ผ่านมาน้องชายมุ่งทำแต่งานแทบจะไม่เคยไปมีเรื่องกับใครเลย
หรือมีอะไรที่น้องชายเธอปิดบังไว้แล้วเธอไม่รู้
“น้องเป็นพี่สาวไอ้เหนือใช่มั้ย?”
เสียงทักจากด้านหลังทำให้น้ำผึ้งหันกลับไปมอง และก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายหน้าเข้มสองคนยืนตรงมุมลานจอดรถ หญิงสาวจำได้ว่าคนเป็นเดียวกันกับที่คุยกับน้องชายของเธอในคืนนั้น ตอนที่เธอนั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางกับเพื่อน
“ใช่ค่ะ มีอะไร?”
หรือว่าทั้งสองคนจะมีส่วนในการที่น้องชายเธอถูกทำร้าย
“พอรู้มั้ยว่าเหนือมันเอาของไปส่งที่ไหน?”
ชายที่มีหนวดเคราครึ้มเอ่ยถามเสียงเข้ม ขณะสาวเท้ามาใกล้ และน้ำผึ้งไม่คิดจะถอยหนีเพราะเธอเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสองคนนี้เป็นใคร
“ของ? ของอะไรกัน”
“อย่ามาแกล้งไขสือหน่อยเลย พวกกูรู้นะว่ามึงกับน้องชายมึงวิ่งงานส่งของสลับกัน บอกว่าดีๆ ไม่งั้นต่อไปจะไม่ใช่แค่การเตือนจากพวกกู”
หญิงสาวตาลุกวาวเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น
“พวกแกนี่เองที่ทำร้ายเหนือ ฉันจะบอกตำรวจ”
“ฮ่าๆ ตำรวจจะทำอะไรพวกกูได้ สรุปคดีไปแล้วว่าเป็นแค่เรื่องชกต่อยกัน ถ้าหากพวกกูยังไม่ได้ของคืนต่อไปน้องมึงมันจะไม่ได้แค่นอนหยอดน้ำข้าวต้มแบบนี้แน่ แต่มันจะได้ลงนอนเฝ้ารากมะม่วงแทน”
“พะ...พวกแก!”
น้ำผึ้ง โมโหจนตัวสั่น แต่ก็พยายามควบคุมสติไว้ เมื่อตระหนักได้ว่าน้องชายตัวเองอาจจะเข้าไปพัวพันกับอะไรบางอย่างของคนพวกนี้
“พวกกูให้เวลาเธอแค่สามวันเท่านั้นนะคนสวย”
ชายคนนั้นสาวเท้ามาใกล้ร่างของเธอ แล้วเอื้อมมือมาจับใบหน้าเรียวผุดผาดที่เริ่มสั่นระริก
“ผึ้ง”
เสียงทุ้มนุ่มต่ำด้านหลัง ทำให้ชายทั้งสองชะงักเล็กน้อย และเมื่อหันไปมอง ใบหน้าหล่อสะอาดที่มองด้วยแววตาดุเข้มพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้อย่างไม่กลัวเกรง ทั้งคู่จึงรีบผละห่างออกอย่างรวดเร็ว
“ฝากไว้ก่อน อีกสามวันกูจะมาเอาคำตอบ”
เอ่ยเสร็จชายทั้งสองก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากตรงนั้น
น้ำผึ้ง ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ขณะปัดเนื้อตัวเองไปมา ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยนั้นฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ยครับ?”
น้ำเสียงของคุณหมอยังคงสุภาพและอ่อนโยนเช่นเคย เหมือนที่เขาคุยกับคนไข้ทั่วไป
เขาเหมาะที่จะเป็นหมอจริงๆ
“ผึ้งไม่เป็นไรค่ะ? ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ”
ดวงตาคู่สีนิลทอแสงอ่อนลงจากเมื่อสักครู่นี้ ขณะเอื้อมมือมาจับแขนของเธอและพลิกดูไปมาอย่างสำรวจ ด้วยเมื่อกี้เขาเห็นว่าไอ้หมอนั่นมันเข้ามาใกล้และจับตรงบ่าของเธออย่างแรง จึงไม่แน่ใจว่าเธอเจ็บตรงไหนบ้าง
“น้องชายผึ้งไม่ใช่แค่ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อน แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น”
“ครับ”
คนฟังตอบรับทราบสั้นๆ
เขาทำงานรักษาคนมามากมาย เห็นวิถีต่างๆของผู้คนทั้งขาวเทาและดำ มีทั้งคนดีคนไม่ดีที่ต่างต้องการมีชีวิตรอดเพื่ออยู่ดูโลกนี้ต่อไป ไม่ว่ามนุษย์หน้าไหนสุดท้ายแล้วก็ต้องการได้รับการรักษา และเขาเห็นผู้คนลักษณะนี้มาจนชาชิน
หน้าที่ของเขาคือรักษา
ต่อให้คนที่มารับการรักษาจะเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายก็ตาม
นั่นคือบทบาทหน้าฉากของการเป็นแพทย์ที่เขาต้องทำ
“ผึ้งไม่สบายใจเลย ผึ้งอยากให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่ม”
“อย่าเพิ่งดีกว่า”
“.....”
“พวกนั้นเป็นคนของวิมานทรัพย์”
ทำไมเขารู้?
“วิมานทรัพย์กลุ่มทุนอสังหาเจ้าใหญ่นั่นเหรอคะ? แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องมารังแกคนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกหนูและน้องด้วย แล้วคุณหมอรู้ได้ยังไง”
อีกฝ่ายไม่ยอมตอบ เขาดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วปัดเศษฝุ่นที่ระข้างแก้มของเธอออกอย่างแผ่วเบา
น้ำผึ้ง จ้องมองเขานิ่ง
ใบหน้าหล่อสะอาดนั้นก้มต่ำจนเห็นแผงขนตางอนงาม และจมูกโด่งเป็นสัน ทว่าท่าทีของเขาในตอนนี้
พลันทำให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ที่เธอเจอเขากับเพื่อนทั้งสี่ที่ฮิพผับ บางทีคุณหมอมาเฟียอาจจะอยู่ในวงการสีเทา ที่รับรู้เรื่องราวแบบนี้ก็ได้
“คุณหมอ”
“พวกนั้นทำธุรกิจอสังหาบังหน้าเพื่อใช้ฟอกเงินสีเทาเท่านั้น แต่ความจริงมันทำธุรกิจอื่นที่ทำเม็ดเงินได้มากกว่า และตอนนี้เหมือนน้องชายของผึ้งได้ไปรู้ข้อมูลอะไรบางอย่างมา”
นี่เขาเป็นนักสืบ ตำรวจ หรือเป็นหมอกันแน่?
“งั้นเราก็ต้องแจ้งตำรวจ”
“แจ้งไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เผลอๆ ทั้งน้องชายและแม่ของผึ้งอาจจะตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม”
“แม่”
จริงซิ!! เธอลืมนึกถึงแม่ของเธอไป “งั้นวันนี้ผึ้งขอลางานวันนึงขอกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอก กลับไปผึ้งก็ช่วยอะไรไม่ได้แถม จะเป็นการสร้างจุดสนใจให้กับพวกมันมากกว่า เพราะเป้าหมายตอนนี้ไม่ได้อยู่แม่ของผึ้ง ผึ้งควรอยู่ห่างจากแม่และน้องให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัย”
“ไม่นะ หนูทำแบบนั้นไม่ได้”
ทำไมเขาถึงจะให้เธอตัดช่องน้อยแต่พอตัวแบบนี้
“เชื่อผมซิ ตอนนี้กลับไปพักที่บ้านกับผมก่อน”
คุณหมอเอ่ยเสียงเข้ม และน้ำผึ้งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกเชื่อและไว้วางใจเขาอย่างง่ายดาย อาจเพราะคำพูดและท่าทางที่ดูน่าเกรงขาม แถมยังดูรอบรู้ไปแทบทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นทำให้หลังจากนั้นไม่นานนักเธอก็มานั่งอยู่ในรถเบนท์ลีย์คันหรูของเขาแล้ว
แต่คงเพราะความกังวลทำให้เธอนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง
ทว่าก็ยังคอยชำเลืองมองหน้าด้านข้างของคุณหมอที่จ้องไปยังถนนเบื้องหน้า ก่อนจะก้มลงบีบมือตัวเอง
“คุณหมอคิดว่าผึ้งต้องทำยังไงต่อ เมื่อกี้สองคนนั้นบอกว่าอีกสามวันจะมาเอาคำตอบ”
ไหนๆ เขาก็ดูเหมือนเป็นพวกหมอมาเฟีย
เธอก็ลองปรึกษาเขาเสียเลย
“ก็ไม่ต้องทำไง น้องชายของผึ้งเอาอะไรของเขามาก็แค่คืนเขาไปเท่านั้น”
น้ำเสียงเขาเอื่อยเฉื่อย คล้ายนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
หญิงสาวนิ่งเงียบไปเพียงครู่
นั่นซิ.... ความจริงก็ควรจะเป็นแบบนั้น
“.....”
“แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันจะยอมจบแค่นั้นหรือเปล่านะ เพราะถ้าน้องผึ้งไปรู้ความลับอะไรมากกว่านั้น ....”
ถ้อยคำของเขาหยุดเพียงแค่นั้น
หัวใจของน้ำผึ้งกระตุกวาบ ด้วยไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเป็นแบบนั้นน้องชายเธอจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
“แล้วคุณหมอพอจะช่วยผึ้งกับน้องได้มั้ยคะ”
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เธอจึงได้เอ่ยถามเขาออกไปเช่นนั้น ด้วยสัญชาตญาณลึกๆ น้ำผึ้งมั่นใจว่าคุณหมอผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แม้ท่าทีตอนนี้เขาจะอ่อนโยนและสุภาพมาก
“ทำไมถึงคิดว่าผมจะช่วยได้ ผมเป็นหมอมีหน้าที่แค่รักษาคนไข้เท่านั้น”
หมอมาเฟียยังคงเอ่ยเสียงราบเรียบ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ผึ้งมีความรู้สึกว่าคุณหมอช่วยผึ้งได้”
“......”
“นะคะ คุณหมอช่วยผึ้งกับน้องด้วยนะคะ”
เหมือนอีกฝ่ายจะเงียบไปสักพัก
ทว่าไม่นานนัก เขาก็เอ่ยกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ถ้าช่วย....แล้วผมจะได้อะไรครับ?”
******************