“ฉันมีงานวันอาทิตย์นี้จริงๆ เหรอริษา”
“อื้อ รับงานไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วนะ แกจะมางอแงไม่ได้เด็ดขาด”
มาริษาสบตาปภาวรินทร์ผ่านกระจกเงาระหว่างที่นางเอกสาวสำรวจความพร้อมของใบหน้าและทรงผมในห้องแต่งตัวก่อนจะถ่ายละครฉากต่อไป ปภาวรินทร์มองมาริษาผ่านกระจกเงาแล้วยู่หน้า
“แต่วันอาทิตย์นี้พี่หมอบูมกลับบ้านนะ ฉันอยากไปกินข้าวกับพี่หมอบูม”
ตั้งแต่ถูกดุคราวก่อนปภาวรินทร์ก็ยังไม่ได้พบหน้าพี่หมอบูมอีกเลย จนเมื่อวานก็รู้จากคุณป้าแม่ของพี่หมอบูมว่าวันอาทิตย์นี้พี่หมอบูมจะกลับมากินข้าวที่บ้าน เธอเลยไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญ
“นี่ปั้นชาฉันขอพูดตามตรงเลยได้ไหม”
“ว่ามาสิ”
ปภาวรินทร์ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง หันหน้ากลับมาหามาริษา
“ฉันลองนับๆ ดูแล้ว แกชอบหมอบูมมาเกือบสิบปีแล้วใช่ไหม”
“ก็อื้อ ใกล้จะสิบปีแล้วแหละ”
ปภาวรินทร์ชอบพี่หมอบูมมาตั้งแต่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย หากนับจากช่วงเวลานั้นจนถึงตอนนี้ก็เกือบสิบปีแล้ว
“สัญญามาก่อนว่าเธอจะไม่โกรธในสิ่งที่ฉันกำลังจะพูด”
“อื้อ พูดมาเลย”
“ถ้าหมอบูมเขาจะมีใจให้แกเขาคงมีใจให้แกไปนานแล้วไหม ไม่ใช่ผ่านมาจะสิบปีแบบนี้เขายังไม่มีท่าทีจะใจอ่อนกับแกเลยอะ แกลองมองคนอื่นดูไหม อย่างเช่นคุณพีชไง คุณพีชเขาดูชอบแกจะตาย”
“แกจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักงั้นเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย ฉันก็แค่หวังดี มีคนที่เพียบพร้อมอยู่ตรงหน้าแกแล้ว แกน่าจะลองให้โอกาสเขาดู แทนที่จะหวังลมๆ แล้งๆ กับคนที่ไม่ได้ไยดีแกแบบหมอบูมอะ”
“คุณพีชคือเพื่อนร่วมงานที่ดีมาก และฉันก็ให้เขาได้แค่นั้น”
ทำไมปภาวรินทร์จะไม่รับรู้สายตาที่มองกันเกินกว่าความเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางที่แสดงออกให้เธอต้องลำบากใจ เธอถึงได้สบายใจที่ได้ร่วมงานกับพรัชต์
“แต่…”
“ได้เวลาทำงานที่ฉันรักแล้ว ไปกันเถอะ”
มาริษาได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินตามปภาวรินทร์ออกไปจากห้องแต่งตัว เธอก็แค่หวังดี ปภาวรินทร์ชอบปารวีย์มาเกือบจะสิบปีแล้ว นอกจากอีกฝ่ายจะไม่แยแสซ้ำยังทำท่าทางรำคาญใส่ แบบนั้นเธอถึงได้อดเห็นใจเพื่อนไม่ได้ แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อปภาวรินทร์ยืนกรานแบบนั้นเธอเองก็จนใจ
“คุณปั้นชาครับ เลิกกองแล้วเราแวะไปกินข้าวต้มร้านเฮียโต๋กันไหมครับ มีผม พี่เชอเบลล์ คุณปั้นชา แล้วก็คุณริษา”
ปภาวรินทร์มองพรัชต์อย่างช่างใจ มาริษาเห็นแบบนั้นก็รีบเดินเข้าไปกระซิบข้างใบหูดาราสาว
“แค่แวะไปกินข้าวต้มเอง ทางผ่านก่อนจะถึงคอนโดฯ ของแกพอดี ดึกขนาดนี้คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่หรอก แล้วอีกอย่างฉันก็หิวด้วย แกเองก็บ่นว่าหิวนี่นา”
มาริษาหว่านล้อม ในฐานะผู้จัดการของปภาวรินทร์ เธอก็อยากให้ปภาวรินทร์มีกระแสอยู่เรื่อยๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะนั่นหมายถึงการจ้างงานที่จะตามมา แต่จะบอกปภาวรินทร์ตรงๆ ก็ไม่ได้เพราะเจ้าตัวไม่ชอบให้เลี้ยงกระแสด้วยการใช้คำว่าคู่จิ้น แล้วไงล่ะ เธอไม่สนหรอก การแข่งขันในวงการบันเทิงสมัยนี้ค่อนข้างสูง ดาราที่ไร้กระแส ไม่ค่อยมีคนพูดถึง การถูกจ้างงานก็มักจะลดลงแม้จะเคยมีชื่อเสียงมาก่อนแล้วก็ตาม
“ก็ได้ค่ะ”
“งั้นก็ไปกันเถอะครับ”
ปภาวรินทร์กลับถึงห้องตอนตีหนึ่งเศษ อาบน้ำอุ่นสวมชุดนอนเสร็จก็หยิบแผ่นมาร์กหน้าออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวทำแบบนี้เป็นประจำทุกคืนก่อนนอน เป็นหนึ่งในขั้นตอนการดูแลผิวหน้าให้ดูเปล่งปลั่งนอกเหนือจากครีมบำรุง อาชีพนักแสดงอย่างเธอการดูแลผิวหน้ารวมถึงรูปร่างเป็นเรื่องสำคัญมากและปภาวรินทร์ก็ตระหนักในข้อนี้ดี ถึงแม้บางครั้งเธอจะเลิกกองดึกดื่น ง่วงจนตาจะปิดแต่ก็ยังต้องบำรุงผิวหน้าอย่างขาดไม่ได้ ระหว่างรอมาสก์หน้าจนครบสิบห้านาที ปภาวรินทร์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อีกหนึ่งสิ่งที่เธอต้องทำเป็นประจำก่อนนอนนั่นก็คือส่งข้อความบอกฝันดีพี่หมอบูม ถึงแม้ว่าแช็ตจะค่อนข้างหนักขวาก็ตาม ปภาวรินทร์จำได้ดีว่าพี่หมอบูมไม่ชอบให้ส่งสติ๊กเกอร์ หญิงสาวจึงเลือกพิมพ์เป็นข้อความบอกฝันดีอีกฝ่ายแทน
“ฝันดีนะคะพี่หมอบูม”
ปภาวรินทร์อ่านทวนข้อความหลังจากที่กดส่งไปแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตอบกลับไม่แม้แต่จะขึ้นอ่านเลยด้วยซ้ำ แต่ปภาวรินทร์ก็ชินแล้ว หญิงสาวรอต่ออีกนิดเผื่อพี่หมอบูมจะกดอ่าน แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าพี่หมอบูมน่าจะเข้านอนไปตั้งแต่สี่ทุ่ม หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะเก็บมือถือไว้ที่โต๊ะเล็กข้างเตียง
“ผมว่าคุณหนูดาราคงตัดใจจากพี่แล้วจริงๆ”
“อะไรของนาย”
ปารวีย์ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วมองปุลวัชร เขาอยู่ที่ห้องตรวจแผนกจิตเวช แต่น้องชายที่เป็นศัลยแพทย์ก็ขยันมาป้วนเปี้ยนแถวนี้จนเขาอยากจะจับยัดให้เป็นหนึ่งในคนไข้ของเขาอยู่แล้ว
“นี่ไงครับ เพจข่าวเกี่ยวกับดาราเขียนข่าวว่า กลางดึกหลังเลิกกองพระเอกหนุ่มกับดาราสาวที่เล่นละครคู่กันและละครกำลังจะออนแอร์เร็วๆ นี้จูงมือกันไปกินข้าวต้มเฮียโต๋หลังเลิกกอง ไม่แน่ว่าคู่จิ้นอาจจะได้กลายเป็นคู่จริงนอกจอ หลังจากร่วมงานละครกันมาหลายเรื่อง มีภาพประกอบด้วย”
ปุลวัชรหันภาพประกอบที่เพจลงข่าวจากโทรศัพท์ไปให้ปารวีย์ดู แม้ภาพที่เห็นจะค่อนข้างแตกเพราะน่าจะซูมจากระยะไกล แต่ก็ยังเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน มองแว่บเดียวเขาก็จำได้ว่านั่นคือปภาวรินทร์
“นี่นายสนใจข่าวอะไรแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ”
ตอนที่พูดปารวีย์ละสายตาจากปุลวัชรและจับจ้องสายตาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่ออ่านประวัติคนไข้ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ปุลวัชรกำลังพูดถึง
“พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอครับ”
“นายจะให้พี่รู้สึกอะไร”
สายตาของปารวีย์ยังจับจดอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตอนที่ถามออกไป
“เสียใจหรือไม่ก็เสียดายไงครับ”
“สิ่งที่พี่รู้สึกมีอย่างเดียว”
“เสียดายใช่ไหมครับ”
ปารวีย์เงยหน้าขึ้นตอบ “สบายใจ แล้วนายก็ไปทำงานของนายได้แล้ว ไม่มีเคสให้ทำหรือไง”
“ไม่…” ปุลวัชรไม่ทันได้ตอบจนจบประโยค เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เจ้าตัวยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นเบอร์โทร.จากวอร์ดศัลยกรรมชาย “ครับ ได้ครับ เดี๋ยวผมไปดูตอนนี้เลย”
“โชคดีนะ ใส่ใจเรื่องตัวเองให้มากหน่อย แล้วใส่ใจเรื่องคนอื่นให้น้อยลงน่าจะดีกว่า”
“ด่าผมเสือกเลยดิ”
“ได้ไหมล่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ให้มันจบที่ตรงนี้แหละ ผมไปละ”
ปารวีย์อมยิ้มตอนที่ปุลวัชรเดินหายออกไปจากห้องตรวจของเขาแล้ว แต่ครู่ต่อมาคิ้วได้รูปที่พาดเหนือดวงตาเรียวรีก็ขยับเข้าหากันเมื่อนึกถึงข่าวซุบซิบของปภาวรินทร์ แต่เพียงชั่วเสี้ยวนาทีใบหน้าหล่อเหลาก็กลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิม
“น่าจะทันนะ”
ปภาวรินทร์ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาราวหกโมงเย็น เหลืออีกราวครึ่งชั่วโมงมื้ออาหารบ้านพี่หมอบูมจะเริ่มขึ้น เธอต้องรีบฝ่าการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่นไปให้ได้เพื่อจะได้ทันร่วมโต๊ะอาหารมื้อเย็นกับพี่หมอบูม เพราะคุณป้าแม่พี่หมอส่งข่าวมาว่าวันนี้พี่หมอบูมจะมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“เดี๋ยวก่อนปั้นชา แกจะรีบไปไหน ชุดยังไม่ทันเปลี่ยนเลยนะ”
“ฉันรีบ ฝากแกขับรถไปไว้ที่คอนโดฯ ให้หน่อยนะ ขอบใจ”
ปภาวรินทร์ตอบแค่นั้น หญิงสาวยัดกุญแจรถใส่มือมาริษาแล้วจ้ำอ้าวออกไป ทิ้งมาริษาที่มองตามด้วยความงุนงง ครั้นจะถามปภาวรินทร์ที่อยู่ในชุดไทยโจงกระเบนเพราะเพิ่งจะร่วมงานผ้าไทยมาหมาดๆ กระโดดขึ้นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปเรียบร้อยแล้ว มาริษาอมยิ้มนิดๆ พลางถอนหายใจ เหตุผลเดียวที่ปภาวรินทร์เร่งรีบแบบนี้คงจะเป็นปารวีย์ละสินะ
“เอ่อ ปั้นชายังทันมื้อเย็นอยู่ไหมคะ”
ปารวีย์เหลือบมองปภาวรินทร์ที่อยู่ในชุดไทยโจงกระเบน ทั้งทรงผมมวยต่ำกับใบหน้าเรียวสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบ่งบอกได้อยากได้ว่าเจ้าตัวคงไปร่วมงานอะไรมาสักงานก่อนจะมาที่นี่
“ทันสิลูก มาเร็ว”
คุณหญิงอตินุชรีบปรี่มาประคองให้ปภาวรินทร์ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ตำแหน่งที่หญิงสาวนั่งคือฝั่งตรงข้ามกับปุลวัชร ส่วนปารวีย์นั่งตรงข้ามกับคุณหญิงอตินุช และปวันนั่งอยู่ที่ตำแหน่งหัวโต๊ะ
“คุณหนูดาราไปรำแก้บนมาเหรอ”
“นั่นปากนายเหรอหมอเถื่อน” ปภาวรินทร์แยกเขี้ยวใส่ปุลวัชรที่กำลังหัวเราะชอบใจ แต่พอเห็นสายตาดุๆ ของปารวีย์ก็รีบเก็บอาการ “ฉันเพิ่งออกมาจากงานอีเวนต์ต่างหาก”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เธอเล่นแต่งเต็มยศซะขนาดนั้น”
“ฉันมีเวลาสระผมล้างหน้าที่ไหนกันล่ะ งานเลิกก็รีบโดดขึ้นพี่วินมาเลย อุ่ย ขอโทษค่ะคุณป้า”
คุณหญิงอตินุชเคยบอกเธอเอาไว้ว่าไม่ค่อยอยากให้เธอซ้อนท้ายพี่วินสักเท่าไรถ้าไม่จำเป็น เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่วินพาเธอซอกแซกจนเข่าไปกระแทกกับรถคันหนึ่งเข้า ทำเอาหัวเข่าของเธอช้ำไปเสียหลายวัน คุณป้าแม่พี่หมอเลยค่อนข้างกังวลใจในเรื่องนี้ เห็นสายตาที่มองอย่างห่วงใยปภาวรินทร์ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้