หญิงสาวเริ่มหยิบชุดออกมาเลือกทีละชุดแล้วเธอก็มาสะดุดตาที่ชุดชั้นใน ไอรักหยิบขึ้นมาดู แต่ละตัวมันเป็นขนาดที่พอดีกับตัวของเธอทั้งหมด นี่อีตาพี่ธีร์คงจะสั่งว่าเอาชุดแบบไหนและขนาดเท่าไรล่ะสิ คิดแล้วก็โมโหตัวเองที่สู้แรงของผู้ชายตัวโตไม่ได้
“เจ็บใจนักคอยดูนะอย่าให้ถึงทีเราบ้างก็แล้วกัน ป๊านะป๊าไม่ได้เป็นห่วงลูกสาวบ้างเลย ปล่อยให้มากับใครก็ไม่รู้” ไอรักบ่นไปแต่งตัวไป
ไอรักแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเปิดประตูห้องนอน เดินไปทางประตูที่เปิดออกสู่ระเบียงกว้าง เมื่อเลื่อนกระจกเปิดประตูก็ปะทะกับลมเย็นวูบหนึ่ง หญิงสาวจึงยกมือสองข้างขึ้นกอดอกตัวเองทันที ธีร์ภาณุที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วได้ยินเสียงปิดประตู เขาจึงละสายตาจากภาพตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าเบื้องหน้า หันกลับมาพร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาว
“หนาวหรือครับหนูไอ”
“นิดหน่อยค่ะ” ไอรักพูดพร้อมกับมองไปที่โต๊ะกลม ที่ตอนนี้มีอาหารหลายอย่างวางไว้ ส่งกลิ่นหอมน่ากินทั้งนั้น
“กับข้าวน่ากินจังเลยค่ะ” ไอรักพูดพร้อมกับเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ โดยไม่ต้องรอให้ชายหนุ่มเชิญ ธีร์ภาณุเดินอ้อมมาที่ด้านหลังไอรัก หยิบผ้าแพรผืนบางสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะคลี่ออกแล้วคลุมบ่าให้ ไอรักสะดุ้งนิดหน่อยแต่ไม่พูดอะไร เธอกระชับผ้าคลุมเข้ากับร่างกาย ธีร์ภาณุเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม จ้องมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า
“ทานได้เลยครับ พี่รับรองว่าฝีมือป้าบัวอร่อยทุกอย่าง เอ...วันนี้ป้าบัวทำกับข้าวซะหลายอย่างเลยนะ สงสัยจะทำต้อนรับนายหญิงของไร่” ธีร์ภาณุพูดไปยิ้มไปโดยไม่สนใจคนนั่งฝั่งตรงข้าม ที่ทำจมูกย่นไม่พอใจ
ไอรักหยิบช้อนกับส้อมตักอาหารเข้าปาก โดยไม่สนใจที่จะมองดูผู้ชายตัวโตที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร ว่าเขาจ้องมองตนเองอย่างไม่วางตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะลงมือรับประทานอาหารตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร
บรรยากาศของการรับประทานอาหารเย็น ท่ามกลางแสงนวลจากโคมไฟหลายดวงที่ติดไว้ริมระเบียง ซึ่งเปิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ลมพัดเบาๆอากาศเริ่มเย็น ดอกไม้หลากหลายชนิดส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ นี่ถ้าไอรักไม่คิดว่าตัวเองถูกฉุดมา เธอคงจะมีความสุขกับการได้นั่งรับประทานอาหารในบรรยากาศโรแมนติกแบบนี้ แต่นี่บรรยากาศดีๆต้องเสียหมด ก็เพราะผู้ชายคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารนี่แหละ
“หนูไอว่างานแต่งของเราจะจัดแบบไหนดีครับ” ธีร์ภาณุพูดขึ้นเมื่อเห็นไอรักดื่มน้ำและวางแก้วลง
“นี่ถ้าหนูไอยังไม่ได้ทานอะไร คงจะทานไม่ลงเลยล่ะค่ะ” ไอรักพูดพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อ้าว! ทำไมล่ะครับ” ธีร์ภาณุถามเสียงสูงแสดงสีหน้าแกล้งสงสัย จนไอรักอยากจะชกหน้าสักครั้ง
“พี่ธีร์คะ หนูไอเหนื่อยที่จะพูดและเหนื่อยที่จะอธิบายเหตุผลของเรื่องนี้แล้วนะคะ วันนี้ทั้งวันเราพูดเรื่องนี้กันเป็นร้อยรอบแล้ว พอเถอะค่ะ หนูไอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว ตอนนี้ขอพักผ่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้ช่วยกรุณาพาหนูไอไปหาคุณลุงด้วย หรือไม่ก็พาหนูไอกลับไปส่งที่บ้าน หรืออีกอย่างวิธีนี้ง่ายที่สุด....” ไอรักเว้นช่วงการพูดแล้วถอนหายใจ มองสบตาธีร์ภาณุที่มองเธอไม่วางตาอยู่ก่อนแล้ว
“ครับ พูดต่อเลยครับพี่ฟังอยู่” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“หนูไอขอยืมโทรศัพท์หน่อยค่ะ หนูไอจะโทรหาป๊า บอกให้คนขับรถมารับ”
“ได้ครับ” ธีร์ภาณุพูดพร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือให้ไอรัก หญิงสาวมีสีหน้างุนงง ไม่นึกว่าเขาจะให้ยืมง่ายดายอย่างนี้ ไอรักเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์จากธีร์ภาณุ แล้วรีบลุกขึ้นเดินไปที่ริมระเบียงหันหลังให้ชายหนุ่ม เพื่อไม่ให้เขาได้ยินบทสนทนา
สักพักหนึ่งเธอก็เดินกลับมา แล้ววางโทรศัพท์กระแทกลงที่โต๊ะเบื้องหน้าชายหนุ่ม ธีร์ภาณุเงยหน้ามองสบตาไอรัก ที่ตอนนี้จ้องหน้าเขาเตรียมพร้อมจะเอาเรื่องเต็มที่
“พี่ธีร์ไปบอกป๊าได้ยังไงว่าเรามีอะไรกันแล้ว” ไอรักโกรธจัดกำมือแน่น ยืนจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างรอคำตอบ
“พี่ก็แค่บอกว่า พี่ใจร้อนกลัวหนูไอจะหนีกลับบ้าน พี่ก็เลยรวบรัดหนูไอและจะขอรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่รังเกียจเรื่องราวที่เคยผ่านมาของหนูไอ พี่ก็บอกคุณลุงแค่นี้ล่ะ”
“พี่ธีร์” ไอรักกระโดดเข้าใส่ธีร์ภาณุที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างลืมตัว เธอกำมือรัวใส่เขาหวังจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่ผิดถนัด ธีร์ภาณุรวบสองมือเล็กไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วรวบเอวหญิงสาวเข้ามาแนบชิดกับตัวเขา ร่างบางทั้งตัวตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ทุกส่วนของร่างกายสัมผัสไออุ่นซึ่งกันและกัน ไอรักพยายามดิ้นขัดขืน แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งโดนรัด คล้ายกับว่าธีร์ภาณุต้องการลงโทษที่เธออาละวาดทำร้ายเขา หญิงสาวหอบหายใจจนตัวโยน เธอสู้แรงเขาไม่ได้
“ว้าย!” เสียงเด็กหญิงน้อยหน่าร้องอุทานพร้อมกับเอามือสองข้างปิดปากตัวเอง กับภาพที่เห็นคือชายหนุ่มที่นั่งอยู่กำลังกอดหญิงสาว ซึ่งกำลังดิ้นขลุกขลักอยู่บนตัก ป้าบัวเดินตามเข้ามาทีหลังตีเด็กหญิงที่ไหล่เบาๆ
“น้อยหน่าเก็บสำรับเร็วๆเข้า” เด็กหญิงรีบกุลีกุจอเก็บโต๊ะอาหาร ป้าบัวเดินตามมาเก็บช่วย คนถูกกอดเงียบไม่พูดอะไรแต่จ้องมองหน้าชายหนุ่มอย่างโกรธจัด ผิดกลับใบหน้าคนกอดที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างท้าทาย