สิ้นเสียงทรงอำนาจ พวงชมพูหันไปส่งยิ้มกว้างแก่ข้าวหอม ดวงตาคู่นั้นสื่อถึงการเยาะหยัน เท่านี้ก็แสดงให้เห็นได้ว่าใครนั้นสำคัญกว่า ในเสี้ยวนาทีรอยยิ้มกลับเหือดหาย
“แต่คุณอย่าคิดนะว่าแผนของคุณจะได้ผล เพราะผมกับข้าวหอม....” เขาจงใจละเว้นประโยคท้าย มั่นใจว่าอดีตภรรยาน่าจะรู้ดีว่าคือสิ่งใด
“ใหญ่!!” พวงชมพูอยากจะกรีดร้อง เพียงแต่ระงับใจไว้ไม่อยากทำกิริยาเช่นนั้นต่อหน้าลูกสาวและคนอื่นๆ พลางปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วทวงบางสิ่งจากคนตัวโต “ฉันหวังว่าคุณจะไม่ผิดสัญญาระหว่างเรา”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจะไม่มีลูกกับใครอีกแน่นอน ผมจะมีจันทร์เจ้าเป็นลูกเพียงคนเดียว”
ถ้อยคำนั้นดังพอที่เจ้าสาวจะได้ยิน ทำเอาข้าวหอมเม้มปากแน่นกว่าเดิมพร้อมหันมองอาชาราวมีบางสิ่งอยู่ในใจ แต่กลับไม่พูดออกไป ไม่อยากให้สถานการณ์น่าอึดอัดกว่าที่เป็นอยู่
ใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่เห็นสายตาเศร้าของภรรยา อาชากลับทำเป็นไม่สนใจ อมยิ้มกับลูกสาวราวข้าวหอมไม่ได้อยู่ในโลกของเขา ก็อย่างว่าการแต่งงานในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการ ไม่ได้เริ่มจากความรัก และนับจากนี้ต่อไปสิ่งที่ข้าวหอมต้องทำมีแค่อดทนเท่านั้น แต่เชื่อว่าจะผ่านมันไปได้เพราะเจ้าหล่อนมีจิตใจที่เข้มแข็ง
-----------------
บรรยากาศของงานวิวาห์ดำเนินไปพร้อมรอยยิ้มของอารัญ ถึงจะไม่สดใสเท่าไรเนื่องจากมีแขกไม่ได้รับเชิญถึงสองคนหนึ่งนั้นก็ร้ายเหลือแต่มาในมาดเยือกเย็น ที่เหลือก็มีหมัดเด็ดเป็นหลานสาววัยน่ารักจึงไม่อาจจัดการได้ดังใจคิด
สำหรับบ่าวสาวนั้นยังเดินขอบคุณแขกผู้มีเกียรติซึ่งมาร่วมงาน สีหน้าแย้มยิ้มประดับไม่ให้เสียชื่อของอารัญ ไม่อยากให้รับรู้ว่า วิวาห์นี้เป็นวิวาห์ไร้รักที่คนต้องใช้ชีวิตร่วมกันหาได้มีใจเสน่หา ทำไปเพราะหน้าที่และคำวอนขอ
“พ่อขอบใจหนูข้าวมากนะลูก ขอบใจจริงๆ”
ช่วงเวลาสำคัญของงานได้ดำเนินมาถึง การส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอทำให้ข้าวหอมแทบกลืนน้ำลายไม่ลงคอ แต่สถานการณ์คลายความตึงเครียดไปบ้างเพราะใครบางคนบนตักหนา ซึ่งฉีกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ไม่เป็นไรค่ะคุณท่าน...คุณพ่อ” ถึงรอยยิ้มจะประดับกรอบหน้า แต่สายตามีความกังวลและความกลัวสำแดงให้เห็น ที่ทำไปทั้งหมดเพราะคำว่ารู้คุณ ถ้าไม่มีอารัญคงไม่มีข้าวหอมในวันนี้ พลางลอบมองชายหน้านิ่งข้างกาย
“ใหญ่จะคิดจะทำอะไรก็ถามความรู้สึกของหนูข้าวบ้างนะลูก อย่าทำอะไรตามอำเภอใจ สงสารน้องบ้าง อย่าใจร้ายมากเกินไป”
“ครับคุณพ่อ”
เขารับปาก สายตาดุดันกลับหันมามองหน้าเจ้าสาวที่นึกชังขึ้นมา
“หนูเจ้าไปนอนกับปู่ดีกว่านะลูก” อารัญกางแขนออกหมายจะให้หลานสาววิ่งเข้ามาหา วันนี้ข้าวหอมและอาชาสมควรได้อยู่กันสองคนถึงจะถูก กระนั้นแล้วจันทร์เจ้ากลับส่ายหน้าพร้อมหันไปกอดเอวบิดาไว้แน่น ซึ่งพอจะเข้าใจในคำพูดของคนเป็นปู่
“พ่อใหญ่”
“ให้หนูเจ้านอนกับผมนี่ล่ะครับ” ชายหนุ่มบอกเสียงอบอุ่น สายตาเช่นนี้จะแสดงก็ต่อเมื่อใช้มองคนที่รัก ฉะนั้นกับหญิงสาวเลยมีแต่ความแข็งกระด้าง ทว่าอารัญยังยืนกรานจะพาจันทร์เจ้าออกไปด้านนอกจนข้าวหอมต้องส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร
สุดท้ายแล้วชายวัยสูงอายุต้องยอมล่าถอยออกจากห้องไปเพียงลำพัง หวังว่าในค่ำคืนนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายตามมา อยากเห็นความสุขของลูกชายและคนซึ่งตนนั้นเอ็นดู ส่วนข้าวหอมทำเพียงมองคู่พ่อลูกส่งยิ้มหวานให้กัน จู่ๆ ก็นึกปวดแปลบในอก
หวนคิดถึงวันเวลาในวัยเด็กของตนเอง ทันใดนั้นก็หนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ความทรงจำดีๆ ช่างมีน้อยเหลือประมาณ จนเผลออมยิ้มกับภาพที่เห็น ถือว่าจันทร์เจ้าเป็นเด็กที่โชคดี ได้ความรักจากพ่อและแม่อย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงที่ทำให้หลุดออกจากห้วงความคิด
“ทัพไปเอาเสื้อผ้าหนูเจ้าในรถให้ฉันหน่อยและเปิดห้องให้ฉันด้วย”
อาชาได้ยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาลูกน้องคนสำคัญอย่างทัพพร้อมบอกความต้องการ ไม่นานเท่าไรเสื้อผ้าได้ถูกนำมาส่งถึงมือหนา ชายคนนั้นลักษณะคล้ายกับคนเป็นนายไม่ผิดเพี้ยน ใบหน้าจะมีแต่ริ้วรอยความกระด้าง ไร้ซึ่งรอยยิ้ม
“ไปอาบน้ำกับพ่อกันดีกว่านะคะหนูเจ้า” คนตัวโตช้อนลูกสาวขึ้น กิริยาท่าทางมีแต่ความเอ็นดูซึ่งข้าวหอมอยากจะได้มันบ้างสักครั้งหนึ่ง แล้วมีหนึ่งประโยคดังมาแจ้งให้ต้องพยักหน้ารับ “ฉันสั่งลูกน้องเปิดห้องให้เธอแล้ว”
“ค่ะ”