ตอนที่ 4
คนใหม่ชิวิตใหม่
“ไม่ต้องให้มนไปค่ะพ่อ ฟางจะไปพบคุณปริญเอง”
ฟางแก้ว บอกเสียงดังลั่นห้องเมื่อเจ้าตัวเปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมกับ สุรีย์พร มารดาของหล่อน
“อ้าว ฟางดีขึ้นแล้วเหรอลูก”
พิพัฒน์ เอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นบุตรสาวคนเล็กเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง ด้วยเมื่อวานอาการหอบและแน่นหน้าอกของ ฟางแก้ว กำเริบขึ้นมา
“ดีแล้วค่ะ และฟางก็จะเป็นคนดีลงานกับคุณปริญเอง ไม่ต้องให้ใครหน้าไหนมาเสร่อแทน”
เสียงของหล่อนแสบแก้วหูนัก รวมถึงสายตาที่มองยัง มนชิดา แฝงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“นั่นนะซิ ยายมนเพิ่งจะมาทำงานได้ไม่เท่าไหร่จะมารู้เรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเราได้ดีไปกว่าน้องฟางที่คลุกคลีมาตั้งแต่เด็กได้ยังไงกัน คุณพัฒน์ก็อย่าให้ท้ายหลานเกินไปจนเสียงานเสียการแบบนี้”
สุรีย์พร เอ่ยสมทบขณะเดินเข้ามา แค่เห็นหน้าของ มนชิดา ที่เหมือน ศรีไพร ราวกับคนเดียวกัน หล่อนก็หงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ผู้หญิงคนที่เป็นมารหัวใจตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว
แต่ทำไมถึงได้มีหลานสาวที่รูปร่างหน้าตา เหมือนกันมาคอยทำให้ว้าวุ่นใจ ยิ่ง พิพัฒน์ ใส่ใจราวกับลูกหลานในใส้ ก็ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองใจกับสุรีย์พรมากขึ้นเท่านั้น
แต่กระนั้นหล่อนก็ยังเกรงใจสามี เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันธุรกิจของโกอายกรุ๊ปให้เติบโตสร้างผลกำไร ให้ครอบครัวหล่อนอยู่อย่างสุขสบาย
“ให้ท้ายอะไรกันสุ ยายมนเพิ่งมาทำงานใหม่ก็จริงแต่เข้าใจผลิตภัณฑ์เราและทำผลงานได้ดีมากเลยนะ ลูกค้าหลายเจ้าก็ชมมา และอีกอย่างงานนี้คุณปริญเจาะจงที่จะคุยกับมนโดยตรง เราจะไปขัดไปยังไง”
พิพัฒน์ ท้วงเสียงเข้ม เปรยตามองหน้า มนชิดา ที่นั่งนิ่งไม่แสดงอาการว่ารู้สึกอย่างไร ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย
เขารู้ว่าการดึงหลานสาว เข้ามาทำงานที่นี่จะสร้างปัญหามากมายในครอบครัวของเขาเอง และอาจทำให้ มนชิดา อึดอัดและไม่สบายใจ แต่อย่างน้อยก็อยากให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
“คุณปริญอาจจะพูดไปตามมารยาทก็ได้นะคะพ่อ ไม่รู้แหละฟางจะไปเอง เมื่อเช้าฟางก็ไม่ได้เจอคุณปริญ เย็นพรุ่งนี้ฟางจะไปเอง”
ฟางแก้ว ยังไม่ลดละ
เรื่องอะไรจะยอมให้ นังเด็กบ้านนอก มาชุบมือเปิบได้คุยงานแบบส่วนตัวกับปริญ หนุ่มหล่อทายาทภาสกรกรุ๊ป ที่หล่อนหลงไหลมาเนิ่นนาน
โอกาสดีๆแบบนี้ จะให้หลุดมือไปได้ยังไง
“ฟางอย่าเอาแต่ใจซิลูก ยังมีอีกหลายโอกาสที่เราจะได้พบกับคุณปริญ ถ้างานนี้สำเร็จเป็นพันธมิตรร่วมกันอย่างไงก็ได้เจอกันอยู่แล้ว”
พิพัฒน์ ปราม แม้บางคราวจะรู้สึกรำคาญพฤติกรรมของบุตรสาวคนเล็กนัก แต่ก็ต้องทำใจยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดูอย่างตามใจของเขากับภรรยาเองที่ประคบประหงมและตามใจหล่อนมากเกินไป
“แล้วแน่ใจได้ไงว่า มนไปเจรจาจะสำเร็จถ้าไปแล้วทางโน้นปฎิเสธละ ใครจะรับผิดชอบ”
สุรีย์พร เอ่ยเสียงแข็ง
แม้ หลานสาวของพิพัฒน์ จะมีความสามารถดั่งที่เขาบอกก็จริง แต่การไปคุยข้อตกลงเพียงลำพังของมนชิดานั้น ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร แม้พิพัฒน์จะเจรจาไปเบื้องต้นแล้วก็ตาม
“พี่มั่นใจว่า คุณปริญไม่ได้ต้องการรายละเอียดอะไรแล้ว เพราะรับทราบข้อมูลที่คุยกับเราทั้งหมดแค่จะตัดสินใจเท่านั้น”
พิพัฒน์ บอกภรรยา
คนระดับ ปริญ ภาสกรกุล ไม่ใช่คนหยุมหยิมที่จะมาใส่ใจรายละเอียดยุมหยิมแบบนี้ และข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เขาเองมีทีมที่ปรึกษาที่ร่วมพิจารณาแล้ว
การให้คนของโกวายไปคุยเพิ่ม เป็นเรื่องความพึงพอใจล้วนๆ แต่นั่นเขาไม่ทราบความคิดที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น
เพราะเขามอง ปริญ ไม่ออกเหมือนกันว่าฝ่ายนั้นคิดยังไง
“สุก็ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ถึงไม่อยากให้ยายมนไป”
“แต่ถ้าปริญระบุมาแบบนั้น เราคงขัดไม่ได้”
ถ้อยคำของ พิพัฒน์ หนักแน่น นั่นทำให้สองแม่ลูกอ่อนท่าทีลงนิดหนึ่ง ก่อนที่แววตาของ สุรีย์พร จะวาววับขึ้น เพราะในใจลึกๆ หล่อนคาดว่าคนอย่าง มนชิดา ไม่มีทางเจรจากับ ปริญ ที่เป็นระดับเคี่ยวลากดินสำเร็จแน่นอน
“ไม่มีทางสำเร็จหรอก เอาซิถ้างานนี้เจรจาให้คุณปริญยอมเซ็นสัญญาร่วมพันธมิตรได้ ก็แต่งตั้งให้ยายมน เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดและกรรมการไปด้วยเลยดีมั้ย”
สุรีย์พร เอ่ยเสียงดัง ขณะยืนขึ้นและเปิดประตูออกไปด้านนอก ด้วยตั้งใจจะให้พนักงานคนอื่นได้ยินเป็นสักขีพยาน
“คุณสุ!!!”
พิพัฒน์ ผุดลุกยืนขึ้นเมื่อเห็นกริยาของภรรยา และเห็นพนักงานด้านนอกเริ่มคุยซุบซิบกัน ทุกคนต่างมองเข้ามายังห้องของประธานโกวายกรุ๊ป
มนชิดา ขยับตัวอย่างอึดอัด เธอรู้ว่า สุรีย์พร ตั้งใจจะให้เธอรู้สึกอับอายกับเพื่อนร่วมงาน และแสดงให้เห็นว่าเธอเองไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะไปคุยงานภาสกรกรุ๊ป
“มนจะทำให้สำเร็จค่ะ คุณสุ”
ริมผีปากจิ้มลิ้มได้รูปยกยิ้ม แววตาคู่สวยของเธอสุกสกาววาววับ ไม่มีความสลดใจแม้แต่น้อยเมื่อสบตากับ สุรีย์พร
รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่แววตาต่างจากศรีไพรลิบลับ
“แล้วฉันจะคอยดู”
“ค่ะ มนจะเตรียมตัวคอยรับตำแหน่งใหม่ค่ะ”
ร่างระหง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดวงตาเธอหลุบต่ำลงมองมือสวยของ สุรีย์พร ที่สั่นระริกแล้วเหยียดยิ้มละไม
เธอไม่ใช่ศรีไพรคนเดิม ที่อ่อนแอกับทุกสิ่งอีกแล้ว