@ บริษัทวฒนะกุล กรุ๊ป
บริษัทใหญ่โตตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า เนืองแน่นไปด้วยพนักงานตามศักยภาพของบริษัทที่เติบโตในทุกปี และยิ่งเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อทายาทเพียงคนเดียวอย่าง เตชินท์ นั่งเก้าอี้กรรมการผู้บริหารบริษัทเต็มตัว
“รณพีร์ ผมขอเอกสารการประชุมด้วย” ร่างสูงโปร่งเดินออกจากลิฟต์ผู้บริหาร มุ่งตรงไปยังห้องทำงานตนเอง และไม่ลืมที่จะแวะโต๊ะเลขาหน้าห้อง พลันเอ่ยปากสั่งงานด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ครับท่าน” รณพีร์เลขาคนสนิท เริ่มทำงานกับเจ้านายหนุ่มตั้งแต่เข้ามาศึกษาดูงาน จนกระทั่ง เตชินท์นั่งเก้าอี้บริหาร ถือเป็นบุคคลที่รู้ใจเตชินท์ประดุจคนในครอบครัวก็ว่าได้
“พี่พีร์ เดี๋ยวเฟืองเอาเข้าไปให้คุณเตชินท์เองค่ะ” เฟืองรัตน์ผู้ช่วยเลขาที่เตชินท์รับเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ ออกหน้ารับอาสาเดินเข้าไปส่งเอกสารการประชุมให้กับเตชินท์ด้วยตนเอง เนื่องจากเธอทราบดีว่าอีกประเดี๋ยว รณพีร์ต้องไปคุยงานกับแผนกออกแบบแทนเจ้านายหนุ่ม
“พี่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ และขอเตือนว่าเธอควรหยุดความคิดนั้นซะ” รณพีร์บุคคลที่มักจะอ่านใจคนอื่นออก เอ่ยเตือนผู้ช่วยเลขาด้วยน้ำเสียงดุดัน หวังให้เฟืองรัตน์หยุดความคิดของตนเองและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
“เฟืองไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น” เฟืองรัตน์ปฏิเสธเสียงแข็ง นัยน์ตาใสซื่อจ้องมองใบหน้ารณพีร์เสมือนต้องการยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง
“ก็ขอให้เป็นอย่างที่เธอพูดแล้วกัน” รณพีร์พยักหน้ารับ และยื่นแฟ้มเอกสารเตรียมการประชุมให้กับเฟืองรัตน์ ก่อนที่เขาจะปลีกตัวเดินไปยังแผนกออกแบบด้วยความเร่งรีบ
ภายในห้องทำงานที่กว้างและเป็นสัดส่วน สมฐานะประธานบริษัท ที่มีประธานหนุ่มนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยท่าทางนิ่งขรึม ชวนให้เฟืองรัตน์หยุดเดินและมองสำรวจใบหน้าอันหล่อเหลานั้น
จนกระทั่ง!
“รณพีร์ไปไหน?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น พลันเอ่ยถามหาเลขาคนสนิทด้วยความอยากรู้ เนื่องจากปกติบุคคลที่สามารถเดินเข้าออกห้องประธานบริษัทได้คงมีเพียงแค่รณพีร์เท่านั้น
“พอดีพี่พีร์ ต้องรีบไปคุยงานกับแผนกออกแบบค่ะ ก็เลยฝากเฟืองเอาเอกสารมาให้คุณเตชินท์” เฟืองรัตน์อธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน เดินไปวางแฟ้มบนโต๊ะทำงานด้วยท่าทางอ้อยอิ่งหญิงสาวช้อนตามองเตชินท์ที่นั่งอยู่เก้าอี้ทำงานด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
“อือ ขอบใจ” เตชินท์พยักหน้ารับ และก้มอ่านเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้าต่อ โดยที่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเฟืองรัตน์ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“เอ่อ คือ” เฟืองรัตน์ที่รู้สึกไร้ตัวตน เปล่งเสียงหวานด้วยใบหน้าอึกอักเสมือนมีเรื่องสำคัญจะพูดกับประธานหนุ่ม
“มีอะไรรึเปล่า” เตชินท์ทิ้งความสนใจเอกสารสำคัญที่อยู่ตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมามองเฟืองรัตน์ เอ่ยถามผู้ช่วยเลขาด้วยความสงสัย
“เฟืองอยากขอบคุณคุณเตชินท์ ที่รับเฟืองเข้าทำงาน” เฟืองรัตน์เอ่ยปากขอบคุณเตชินท์ที่รับเธอเข้าทำงาน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มหวานพิมพ์ใจส่งให้ประธานหนุ่มอย่างมีเลศนัย
“อือ เธอก็ตั้งใจทำงานแล้วกัน”
“ถ้ามีอะไรให้เฟืองรับใช้ คุณเตชินท์บอกเฟืองได้ทุกเรื่องเลยนะคะ คือเฟืองอยากตอบแทนจริง ๆ”
“ถ้าอยากตอบแทนฉัน ตั้งใจเรียนรู้งานจากรณพีร์ก็พอ”
“ค่ะ เฟืองเต็ม” เฟืองรัตน์พยายามหาคำพูดที่สวยหรู หวังให้เตชินท์เข้าใจคำพูดที่ตนเองกำลังสื่อออกมา
แต่
“ออกไปได้แล้ว” ยังไม่ทันที่เฟืองรัตน์จะพูดจบประโยค เตชินท์จึงรีบตัดบทและสะบัดมือไล่เธอออกจากห้องทำงานทันที
เพียงแค่บานประตูถูกปิดลง เตชินท์กลับถอนหายใจพรืดยาวด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเฟืองรัตน์พยายามสื่ออะไร? จึงจำใจต้องมองข้ามเสมือนไม่รับรู้ในสิ่งที่เธอต้องการ
@ คณะบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์
ใต้ตึกคณะที่เนืองแน่นไปด้วยเหล่านักศึกษาสาวเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่งพูดคุยกันอยู่โต๊ะหินอ่อน รอเวลาเข้าเรียนในช่วงบ่ายของวัน รวมไปถึงกลุ่มของเกวลินเช่นกัน
“จดทะเบียนสมรส/จดทะเบียนสมรส” เชอรีนและพิพิมอุทานขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าทั้งสองดูตกใจกับเรื่องราวที่เกวลินเล่าให้ฟังไม่น้อย
“กับใครวะ?” เชอรีนเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ อยากทราบประวัติสามีของเพื่อนสาวในวัยยี่สิบต้น ๆ
“กับลุงท่านหนึ่ง แก่แล้ว” เกวลินตอบกลับแบบขอไปที ใบหน้าสวยแสดงอาการเซ็งแซ่อย่างเห็นได้ชัด
“ก็แล้วทำไม? ครอบครัวแกเห็นด้วยล่ะ” พิพิมตั้งคำถามขึ้นด้วยความสงสัย ปกติครอบครัวของเกวลินอบอุ่น บวกกับห่วงลูกสาวพอดู แต่ทำไม? ครั้งนี้จับเกวลินแต่งงานเช่นนี้
“ไม่รู้สิ คงเป็นเรื่องธุรกิจนี่แหละ”
“แกยอมเหรอ” เชอรีนสลับกับพิพิมตั้งคำถามใส่เกวลิน เนื่องจากปกติไม่มีใครสามารถบังคับเกวลินได้ หากเจ้าตัวไม่เต็มใจ
“ตอนแรกก็ไม่ยอม คุณแม่ตัดเงินเดือน ตัดบัตรเครดิต ก็เหมือนฆ่าฉันทางอ้อม อีกอย่างหน้าตาคุณลุงคนนั้นก็พอไปวัดไปวาได้ ฉันก็เลยขี้เกียจต่อต้าน”
“สรุปใครเหรอ” เชอรีนเอ่ยถามสามีป้ายแดงของเกวลินอีกครั้ง จนกระทั่ง สาวเจ้ายอมบอกชื่อชายหนุ่ม
“เตชินท์ ประธานบริษัทวัฒนะกุลกรุ๊ป”
“พูดจริง/พูดจริงเหรอ” เชอรีนและพิพิมเบิกตาโต อุทานขึ้นเสียงดัง เพียงแค่ได้ยินชื่อสามีป้ายแดงของเกวลิน
“ตกใจอะไรขนาดนั้น” คิ้วเรียวขมวดคิ้วเข้าหากัน เอ่ยถามเพื่อนสนิททั้งสองด้วยความสงสัย
“เฮ้ย นั่นมันนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเลยนะเว้ย ลุงอะไรของแกจะหล่อปานนั้น” เชอรีนพูดแทรกขึ้นทันที อธิบายสรรพคุณสามีในนามของเกวลินให้เธอทราบ บวกกับความหล่อเหลาที่ผู้หญิงหลายคนอยากพลีกายให้
“พวกแกรู้จัก” เกวลินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าพิพิมและเชอรีนจะรู้จักตาลุงคนนั้น
“พวกฉันดูข่าวธุรกิจ และแน่นอนว่าคุณเตชินท์คนนี้ เป็นบุคคลที่วงการธุรกิจต่างเล่าลือเรื่องความเก่งกาจของเขา”
“ขนาดนั้นเลย” ใบหน้าสวยเลิ่กลั่กไม่น้อยกับคำตอบที่ได้จากพิพิม คำบอกเล่าเล่นเอาเธอตกใจปนตะลึงกับความอลังการของสามีป้ายแดง
“แกนั่นแหละ ไปอยู่ไหนมา? เรียนบริหารอาจารย์ก็สั่งให้ไปศึกษาบุคคลตัวอย่างออกจะบ่อย”
“อ้าว ก็เราภาคอินเตอร์ ฉันก็ต้องไปสื่อนอกอยู่แล้ว” ในเมื่อเธอเรียนอินเตอร์ก็มักจะไปศึกษานักธุรกิจต่างประเทศ เพียงเพราะอยากอินเตอร์
“ตัวจริงหล่อเหมือนในรูปไหม” เชอรีนยื่นหน้าเข้าใกล้เกวลิน พลันเอ่ยถามถึงความหล่อเหลาสามีเพื่อนสาวด้วยท่าทางสนอกสนใจ
“ฉันไม่เคยเห็นรูป” เกวลินตอบปฏิเสธไป เพียงเพราะเธอไม่เคยเห็นรูปถ่ายของเตชินท์แม้แต่ครั้งเดียว
“งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ ตัวจริงหล่อไหม” หากเกวลินไม่เคยเห็นรูปถ่าย งั้นคงต้องถามตัวจริงให้หายสงสัย
“หล่อ” เกวลินนั่งเงียบไปสักพักเสมือนกำลังครุ่นคิด นึกถึงใบหน้าสามีตนเองที่พึ่งจดทะเบียนสมรสไปไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง
“วาสนาแกค่ะ เกวลิน” เชอรีนยิ้มกว้าง ยินดีกับเพื่อนสาวไม่น้อยที่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่เพอร์เฟกต์ไม่น้อยอย่างเตชินท์
“เหอะ! คอยดูนะ เรียนจบเมื่อไหร่ ฉันจะหย่าทันที” เกวลินยิ้มแสยะดั่งคนกำลังมีแผนการในใจ พลันประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหรอ? นี่แกไม่เคยได้ยินเหรอ อยู่ด้วยกันก็รักกันเอง ดูตัวอย่าง ความรักของพ่อแม่แก ที่แกเล่าให้ฟังสิ คู่นั้นก็ถูกคลุมถุงชนไม่ใช่เหรอ” เกวลินมักปิดกั้นความรักของตัวเอง เพียงแค่อยากเจอความรักดี ๆ เสมือนบิดาและมารดาตนเอง ที่รักและซื่อสัตย์แม้ว่าก่อนหน้านี้ ทั้งคู่จะถูกครอบครัวจับแต่งงานก็ตาม
“นั่นมันเรื่องเล่าความรักคุณพ่อ คุณแม่ฉัน แต่นี่ฉัน เกวลินค่ะ ฉันคงไม่โชคดีแบบคุณแม่ตัวเองหรอก”