วันต่อมา...ทิพย์อัปสรตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้มีโอกาสขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก และยิ่งไปกว่านั้น การมาเห็นเมืองหลวงครั้งแรกในชีวิต
“ว๊าว! นี่เหรอกรุงเทพฯ ตึกเต็มไปหมดเลยอ่ะป้า แล้วรถก็เยอะเต็มถนนเหมือนมดเลยอ่ะ”
ขณะนั่งรถแท็กซี่เข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่สุดอลังการ เจ้าหล่อนมองตาค้างไปหลายวินาทีทีเดียว
“โหวววว...บ้านอย่างกับวัง...รวยอะไรเบอร์นั้น”
“แกมาอยู่บ้านนี้ มีหน้าที่อย่างเดียว คือดูแลคุณหญิง ท่าน ต้องดูแลทุกอย่างในฐานะพยาบาลพิเศษ ส่วนงานอื่น ๆน่ะไม่ต้องยุ่ง เว้นว่าแกจะมีน้ำใจเท่านั้น”
“แล้วหนูต้องพักอยู่ในบ้านหลังนี้เลยใช่มั้ย”
“ใช่ แกต้องทำงานเต็มเวลา”
“รับใช้แต่คุณหญิง แต่ไม่ต้องรับใช้พวกคุณชายทั้ง 4 ใช่มั้ยคะป้า”
“อืม แต่ถ้าพวกเธออยากให้ช่วยอะไร แกก็อย่านิ่งดูดายล่ะกัน ถือสุภาษิตเอาไว้ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย เข้าใจนะ”
“เข้าใจค่ะ แต่ไม่ต้องปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นใช่มั้ย”
“เดี๋ยวเหอะ! ทำมาเล่นลิ้น!”
“ค่ะ ๆ ๆ ๆ ทิพย์สัญญาว่าจะไม่ทำให้ป้าเสียชื่อเด็ดขาด และถ้าเลี่ยงได้ ทิพย์จะไม่ยุ่งกับคุณชายพวกนั้นหรอกค่ะ ทิพย์เป็นแค่คนบ้านนอก กิริยาวาจาไม่งามเหมือนสาวชั้นสูงในเมือง กลัวว่าพวกท่านหลานเธอจะรังเกียจ” เธอพูดประชดพลางชะเง้อมองคฤหาสน์หลังใหญ่ด้วยสายตาตื่นตะลึง “แต่บ้านหลังใหญ่ซะขนาดนี้ คงไม่เดินมาเจอกันง่ายๆหรอกนะคะ พวกคุณๆสามน้ำสี่น้ำนั่นน่ะ”
“แกนี่! พูดอะไรทะลึ่งตึงตัง มาสามน้ำสี่น้ำอะไร”
“อ้าว! ก็มีทั้งปิงวังยมน่าน ก็ครบทั้ง 4น้ำ ทิพย์พูดผิดตรงไหน คุณป้าขาคิดอะไรอยู่เนี่ย คิดถึงน้ำอะไรคะ”
“โอย...นังหลานคนนี้นี่!” ป้าฉวีอรอยากจะเป็นลมกับความทะลึ่งทะเล่อของหลานสาว แต่หลานสาวกลับรู้สึกสนุกที่ได้หยอกเย้าสาวโสดอย่างคุณป้าให้ใจแตกเล่นตอนแก่
“ตามมาทางนี้ เดินดีๆ” ฉวีอรพาเธอเข้าทางด้านหลังของคฤหาสน์ ซึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับคนใช้และลูกจ้างบ้านนี้ ซึ่งมีกันราว 10 คน หากรวมเธอซึ่งเป็นพยาบาลประจำตัวคุณหญิง ก็ได้ 11 คนพอดิบพอดี
“ห้องนอนของแกอยู่ชั้นสอง ไม่ไกลจากห้องคุณหญิงมากนัก เพราะจะได้สะดวกในการดูแลท่าน”
ฉวีอรพาหลานขึ้นชั้นสองด้วยบันไดด้านข้างของคฤหาสน์ ซึ่งเป็นทางเฉพาะสำหรับคนใช้อีกเช่นกัน
“ชั้นสองเงียบจัง”
“ตอนกลางวันไม่ค่อยมีใครอยู่หรอก ออกไปทำงานกันหมด เว้นแต่คุณน่าน...”
“อ๋อ คนที่เดินไม่ได้นั่นเหรอป้า”
“เบาๆ ห้องคุณน่านอยู่ฝั่งโน้น ตรงข้ามกับห้องนอนแกนั่นแหละ ยังไงแกก็อย่าไปยุ่งกับเธอล่ะ เพราะคุณน่านเธอไม่ชอบให้ใครไปวุ่นวาย เธอโลกส่วนตัวสูง แต่ถ้าเผื่อเจอโดยบังเอิญ ก็อย่าไปมองที่ขาของเธอเด็ดขาด ก้มหน้าทำเป็นมองไม่เห็นเธอซะก็จะดีมาก”
“อ๋อ...ฉันเข้าใจ มันคงทำให้เขารู้สึกไม่ดี เหมือนเป็นปมของเขา” ป้าเล่าเรื่องคุณชายทั้ง 4 คนให้เธอฟังคร่าวๆแล้ว อย่างคุณน่าน น้องสุดท้องของบ้าน เขาชื่อว่า ธารสุรีย์ พิริยะวัฒน์ อายุ 29 ปี เป็นนักกีฬาทางน้ำและเป็นนักแข่งรถที่มีอนาคตสดใส แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เมื่อต้นปีนี่เอง ที่เขาประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์คว่ำ จนทำให้ต้องสูญเสียขาข้างซ้ายไป
ปัจจุบันเขานั่งรถเข็น แม้ใส่ขาเทียมแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ค่อยชินกับมัน เขามักเก็บตัวอยู่ในห้อง ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ และอ่านหนังสือที่ชอบจนเกือบหมดห้องสมุดของบ้านแล้ว
“แล้วห้องของพวกคุณชายที่เหลือล่ะคะ”
“แกจะรู้ไปทำไม”
“ทิพย์จะได้ไม่เฉียดไปไงป้า”
“ห้องคุณปิงกับคุณวังอยู่ชั้นสาม ส่วนห้องคุณยมก็อยู่ถัดจากห้องคุณน่านไปนั่นแหละ แกจำไว้เลยนะ ถึงแกจะอยู่ที่ห้องชั้นสอง แต่แกก็ห้ามใช้ของร่วมกับเจ้านาย ไม่ว่าจะเป็นบันไดกลาง ลิฟต์ ห้องนั่งเล่น ห้องดูหนัง ที่สำคัญห้องสมุด ห้ามเด็ดขาด!”
“เฮ่อ กฎเยอะฉิบ ห้ามหายใจด้วยมั้ยคะคุณป้าขา”
“แล้วก็ห้ามพูดคำหยาบ คำสบถ คำประชดประชัน...”
“โอย...ห้ามพูดเลยดีกว่าค่ะ”
“ถ้าได้ก็ดี”
“โอ๊ะ!” เธอไม่อยากจะเชื่อ นี่เธอหลงมาอยู่ในยุคทาสหรืออย่างไร ศักดินา การแบ่งชนชั้นเยอะแยะเหลือเกิน
“เข้าห้องไปได้แล้วไป๊...จะได้จัดข้าวของให้เรียบร้อยตอนเย็นค่อยลงไปกินข้าวที่ครัว ส่วนงานเริ่มพรุ่งนี้ อ้อ..อย่าลืมจำใบหน้ากับชื่อเจ้านายทุกคนให้ขึ้นใจด้วย หนังสือชีวปะวัติของตระกูลพิริยะวัฒน์วางอยู่บนโต๊ะทำงานนั่นแหละ ป้าลงไปดูงานที่ครัวก่อนนะ”
ป้าฉวีอรทิ้งเธอไว้ในห้องนอนประจำตำแหน่ง กับหนังสือชีวประวติเล่มหนาที่มีรายละเอียดดีงามเกี่ยวกับคนบ้านนี้ แต่ไม่มีรายละเอียดทางด้านลบให้เสียชื่อ
“โอ้ว...นี่เหรอพี่ชายคนโตของบ้าน ธารเทพ พิริยะวัฒน์ หรือ คุณปิง เป็นนักเรียนฮาวาร์ด จบทางด้านบริหารธุรกิจ เกียรตินิยม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของตระกูล ที่มีโรงแรมและรีสอร์ตหรูระดับหกดาวหลายสิบแห่งทั่วประเทศ...สมกับเป็นพี่ใหญ่ของบ้านแฮะ!”