ตอนที่ 8
เพิ่งรู้ใจตนเอง
นนทกรขับรถออกไปจากบ้านของปณาลีครึ่งชั่วโมงก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเรื่องรสชาติและบรรยากาศโรแมนติก
“ถึงแล้วครับ” นนทกรบอกพลางลงจากรถไปเปิดประตูให้เธออย่างสุภาพ
ปณาลีก้าวลงจากรถด้วยหัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่าเดิม เธอมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น ร้านนี้คือร้านที่พวกเขาทั้งสองคนตกลงคบกันเป็นแฟนเมื่อสามปีที่แล้ว การกลับมาที่นี่อีกครั้งในวันนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในวันที่มีความสุขที่สุดวันนั้น
“โต๊ะจองไว้แล้วครับ” นนทกรบอกกับพนักงานต้อนรับ
พนักงานพาพวกเขาทั้งสองคนไปยังโต๊ะที่จองไว้ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่มุมในสุดและเป็นส่วนตัวมากที่สุด
“นานแล้วนะคะที่เราไม่ได้มากินข้าวร้านนี้ด้วยกัน”
“พี่ขอโทษนะที่ไม่มีเวลา พอพี่รู้ว่าร้านนี้เพิ่งปรับปรุงเสร็จ พี่เลยตั้งใจพายี่หวามาที่นี่เพราะรู้ว่ายี่หวาชอบ” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิมเล็กน้อย
ปณาลีรู้สึกเขินอายกับคำพูดของเขา เธอก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะเปิดเมนูดูอาหารที่ชอบ และสั่งอาหารที่เธอชอบทานกับเขาในวันสำคัญของพวกเขาทั้งคู่
ระหว่างรออาหาร นนทกรก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาวางไว้บนโต๊ะ ปณาลีสังเกตเห็นว่าเขามองหน้าจอโทรศัพท์เป็นระยะๆ เหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง
“พี่นนท์คะมีอะไรหรือเปล่าเห็นเอาแต่จ้องโทรศัพท์” ปณาลีเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอโทษนะยี่หวาพอดีว่าพี่กำลังรอเมลสำคัญอยู่น่ะ” นนทกรบอกด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด เขาละสายตาจากโทรศัพท์และมองหน้าเธอก่อนจะยิ้มแต่ปณาลีสังเกตว่าแววตาของเขามันไม่ยิ้มตาม
เธอคิดว่านนทกรคงกำลังเครียดกับการเตรียมจะขอเธอแต่งงานเธอจึงมองข้ามเรื่องเล็กน้อยนี้ไป
อาหารมาเสิร์ฟและพวกเขาทั้งสองคนก็เริ่มทานอาหารกัน ปณาลีพยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ เพื่อลดความตึงเครียด แต่คำตอบของนนทกรก็ยังคงสั้นและเรียบง่ายเหมือนเดิมจนเธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอึดอัดที่นนทกรเป็นคนสร้างขึ้น
หญิงสาวรู้สึกถึงความห่างเหินจากเขาอย่างเห็นได้ชัด เขาต่างไปจากนนทกรที่เธอเคยรู้จัก
“พี่นนท์ดูเครียดๆ นะคะ”
“ช่วงนี้ที่สำนักงานใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง งานก็เยอะขึ้นพี่ก็เลยเครียดน่ะ ยี่หวาละงานที่สาขาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยุ่งเป็นบางวันค่ะโดนเฉพาะใกล้ๆ สิ้นเดือน แต่ก็คงยุ่งไม่เท่าพี่นนท์หรอกค่ะ พี่นนท์อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมทานข้าวนะคะเดี๋ยวจะปวดท้องอีก” เธอเตือนอย่าหวังดี
เพราะเขามักจะปวดท้องอยู่บ่อยๆ อย่างนัดครั้งล่าสุดเมื่อครั้งก่อนเขาก็มาหาเธอไม่ได้เพราะปวดท้องพอเธอจะไปหาเขาก็บอกว่าเป็นห่วงไม่อยากให้ขับรถเข้าเมืองเพราะปณาลีไม่ชินเส้นทาง
“ขอบใจนะยี่หวาที่ดีกับพี่และเป็นห่วงพี่เสมอ พี่ดีใจที่ได้รู้จักยี่หวานะ” นนทกรพูดแล้วยิ้มให้เธออย่างจริงใจ ครั้งนี้ปณาลีสัมผัสได้ว่าเขายิ้มออกมาจากใจจริงๆ
“ก็เราเป็นแฟนกันนี่คะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม เธอรู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มดีขึ้น เมื่อเขาพูดแบบนี้ก็คงเดาได้ไม่ยากว่ากำลังจะขอเธอแต่งงาน
เมื่อทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็เดินเข้ามาพร้อมกับส่งช่อดอกลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์ไม่ใช่ดอกกุหลาบสีแดงอย่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรก
ปณาลีมองไปที่ดอกไม้ด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็พยายามยิ้มรับไว้ ดอกลิลลี่สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และการเริ่มต้นใหม่ และเธอคิดว่ามันคงเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตคู่ของพวกเขาทั้งสองคน
นนทกรมองหน้าปณาลีแล้วถอนหายใจ เขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ
“ยี่หวาครับ” นนทกรเรียกเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คะ” ปณาลีตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสใจเธอเต้นแรงมากๆ
“ที่พี่นัดยี่หวามาทานข้าววันนี้ คือพี่....”
นนทกรเงียบไปนั้นยิ่งทำให้ปณาลีตื่นเต้นจนแทบจะหยุดหายใจ
“อะไรคะ” หญิงสาวถามแล้วยิ้มกว้างน้ำตาเริ่มจะไหลออกมาคลอนิดๆ หูสองข้างรอฟังคำที่จะเอ่ยออกมาจากปากของผู้ชายที่เธอรัก
“พี่อยากจะขอ.....ขอลดสถานะของเรา…เป็นแค่พี่น้องก็พอครับ”
คำพูดของนนทกรเหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางหัวใจของปณาลี รอยยิ้มที่เคยสดใสบนใบหน้าหายไปในทันที น้ำตาแห่งความดีใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจและผิดหวัง หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้
“พี่นนท์…พูดอะไรคะ” ปณาลีถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนแทบจะไม่มีเสียงออกมา
“พี่ขอโทษที่ทำให้ยี่หวาเสียเวลา แต่พี่…รู้สึกว่าเราไปด้วยกันไม่ได้แล้วจริงๆ” นนทกรพูดพลางหลบสายตาของเธอ
ปณาลีรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้าเธอ ความหวังและความฝันทั้งหมดที่เธอวาดไว้ในใจได้พังทลายลงในพริบตาเดียว
“ทำไมคะ ยี่หวาทำอะไรผิดไปคะ” ปณาลีถามด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด
“ยี่หวาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยครับ แต่พี่…พี่รู้สึกว่าเราเข้ากันไม่ได้แล้วจริงๆ” นนทกรตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนกำลังฝืนใจพูด
“พี่นนท์…พี่นนท์พูดอะไรคะ เราคบกันมาเกือบสามปีแล้วนะคะ” ปณาลีพูดพลางส่ายหน้าช้าๆ น้ำตาของเธอเริ่มไหลอาบแก้มด้วยความเสียใจ
“พี่ขอโทษครับ”
“พี่นนท์คะ บอกยี่หวาได้ไหมว่ายี่หวาผิดตรงไหน ไม่ดีตรงไหนยี่หวาพร้อมจะปรับตัวนะคะ” หญิงสาวขอร้องเขาอย่างคนเสียสติ ยังดีที่ว่าโต๊ะของเธออยู่ห่างจากโต๊ะของคนอื่นมากและในร้านก็เปิดเพลงคลอโต๊ะอื่นจึงไม่ได้ยินเสียงที่เธอพูด
“ยี่หวาดีทุกอย่าง แต่ตอนนี้พี่ยังไม่อยากคิดถึงเรื่องความรักพี่ขอโทษนะที่ทำให้ยี่หวาเสียเวลาแต่เรายังเป็นพี่เป็นน้องกันได้ ยี่หวาโทรหาพี่ ปรึกษาได้ตลอด”
“ถ้าอยากจะเป็นแค่พี่น้องพี่ทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรกล่ะคะ จะมาขอคบกันเป็นแฟนทำไม”
“พี่ขอโทษพี่เพิ่งรู้ใจตัวเอง เรากลับกันเถอะนะเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่ต้อง ยี่หวากลับเองได้” ปณาลีปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
เธอเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นหยิบกระเป๋า ก่อนจะเดินออกไปจากร้านด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
นนทกรมองตามแผ่นหลังของเธอไปจนลับตาด้วยความรู้สึกผิด เขานั่งลงที่เก้าอี้และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เขาสามารถทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำมานานแล้ว
ปณาลีเดินออกมาจากร้านด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่หยุด เธอเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จุดหมายใดๆ โทรศัพท์มือถือของเธอสั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เธอก็เลือกที่จะไม่รับสาย
จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและพบว่าเป็นเบอร์ของภัทรมน
“ฮัลโหลมน…” ปณาลีรับสายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนเพื่อนจับได้
“ยี่หวา เกิดอะไรขึ้นทำไมแกถึงร้องไห้” เสียงของภัทรมนร้อนรนทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อน
“มน พี่นนท์…พี่นนท์เขาขอเลิกกับฉันแล้ว” ปณาลีพูดได้เพียงแค่นั้นก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร เธอพูดไปพลางร้องไห้ไปจนแทบจะจับใจความไม่ได้
“ว่าไงนะ ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน” ภัทรมนอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างสุดขีด
“ฉันไม่รู้…ฉันเดินออกมาจากร้านแล้ว” ปณาลีตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสน
“ร้านไหน”
“ร้านที่ฉันเล่าให้แกฟัง”
“แกอยู่ตรงนั้นแหละนะ ฉันจะไปหาแกเดี๋ยวนี้” ภัทรมนบอกก่อนจะวางสายไป