รู้สึกคอแห้งผากไปหมดคล้ายกับคนอดน้ำมาแล้วหลายวัน ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดศีรษะรุนแรงถึงขั้นต้องล้มตัวลงที่นอนนุ่มอีกครั้งเมื่อไม่สามารถประคองหัวตัวเองให้นั่งได้ กลิ่นผ้าปูที่นอน กลิ่นปลอกหมอนสะอาด พื้นเพดานดูเรียบหรูอย่างไม่เคยเห็นในชีวิตมาก่อน แม้ตัวจะไม่สามารถขยับได้มากนัก ตายังคงสำรวจไปทั่วด้วยความสงสัย
ความทรงจำสุดท้ายของฉันคืออะไรกันนะ…
อา ใช่ ฉันถูกช่วยชีวิตไว้ก่อนจะโดดน้ำสินะ ถ้าว่ากันตามความจริง ตอนนี้ตัวเองคงไม่รับรู้อะไร ร่างฉันคงนอนจมอยู่ใต้น้ำอันหนาวเหน็บ ถูกซัดไปติดฝั่งที่ไหนสักที่ในอีกวันสองวันต่อมา สภาพคงขึ้นอืดเน่าเฟะจนไม่สามารถแยกออกได้ว่าชายหรือหญิง หลังจากนั้นคงมีภาพฉันขึ้นทุกหน้าสำนักข่าว ประวัติจะถูกเอามาตีแผ่ ผู้คนจะแสดงความคิดเห็นด้วยข้อความสั้น ๆ เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัว บ้างอาจด่าฉันที่คิดสั้นปลิดชีวิตตัวเองด้วยปัญหาเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นข่าวการตายของฉันก็จะหายไปภายในเวลาไม่ถึงสองวัน หรืออาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้
“ปวดหัวเหรอ” เสียงทุ้มน่าฟังถามตอนประตูแง้มออก ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาหาช้า ๆ ยังเตียงนอน เขาทิ้งตัวลงบนฟูกข้างฉัน แขนข้างหนึ่งค้ำยันที่นอนไว้ ขาไขว่ห้าง ก่อนใช้หลังมือทาบบนหน้าผากฉันเหมือนกำลังวัดอุณภูมิร่างกายให้อย่างไรอย่างนั้น “ยังมีไข้” พูดพึมพำกับตัวเองแล้วลุกขึ้น
“คุณ…” เสียงฉันเบาหวิวราวกับลมจากเครื่องปรับอากาศ ถึงกระนั้นเขายังได้ยินมัน เขาหยุดเดิน โคลงศีรษะเล็กน้อยก่อนพูด
“จะให้คนมาดู ดีขึ้นแล้วค่อยคุยกัน ไม่ต้องรีบ” ไม่แม้แต่มองหน้ากันด้วยซ้ำ พูดจบร่างสูงใหญ่ก็เดินจากไปเลย
เพียงไม่ถึงสองนาที ชายหนุ่มอีกคนก็เข้ามาในห้องพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ เขาสวมแว่นสายตาหนาเตอะกรอบสี่เหลี่ยมสีเงิน เนื้อตัวขาวผ่องราวกับกระดาษเหมือนคนไม่เคยออกแดดสักครั้งในชีวิต ใบหน้าดูสะอาดสะอ้านน่ามอง หากนี่ไม่ใช่สถานการณ์แสนอึดอัด ฉันคงไม่ลังเลที่จะเอ่ยปากจีบเขา
“ให้ผมตรวจดูอาการหน่อยนะครับ” ริมฝีปากสีแดงฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจัดการตรวจเช็กร่างกายฉันอย่างเช่นที่พูด “ไม่ต้องพยายามพูดก็ได้ครับ ยังมีเวลาอีกเยอะ” เขาพูดดักไว้ตอนเห็นว่าฉันอ้าปากขึ้น “ผมรู้ว่าคุณคงมีคำถามมากมาย แต่เอาไว้อาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากันอีกที”
เพียงแค่พยักหน้าตอบสองสามครั้ง หลับตาลงให้ผู้ชายตรวจร่างกายกระทั่งเสร็จ เขาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือ ฉีดยาบางอย่างให้ นั่งเป็นเพื่อนกระทั่งหลับไป
ตื่นอีกทีรอบข้างก็มืดสนิทเสียแล้ว ร่างกายเบาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้สามารถนั่งและเคลื่อนไหวตัวได้เช่นปกติ แค่สมองอาจจะยังเฉื่อย ไม่แน่ใจว่าเพราะยานอนหลับที่เพิ่งได้รับไปยังตกค้างในร่างกาย หรือเพราะตัวฉันเองที่อยู่ในสภาวะไม่ปกติกันแน่
ตัดสินใจค่อย ๆ พาร่างกายแสนพังเดินออกไปนอกห้อง เหมือนที่นี่จะเป็นคอนโดฯ ไม่ก็อะพาร์ตเมนต์มากกว่าบ้าน เจ้าของคงร่ำรวยล้นฟ้า ไม่ก็คงเป็นพวกบ้าสะสมของแพง ฉันไม่ใช่คนใช้ชีวิตโลดโผนหรูหรา แต่ก็ผ่านตากับแบรนด์ที่ตนไม่มีแม้กระทั่งปัญญาจับต้องมาบ้าง บางอย่างที่เคยเห็นมันวางอยู่ตรงหน้าฉันห่างไปเพียงเอื้อมถึงเท่านั้นเอง บ้างยังถูกยัดไว้ในซอกหลืบเหมือนของไร้ค่าทั้งที่ราคาของมันน่าจะซื้อบ้านดี ๆ สักหลังอยู่ได้เลย
ชักไม่มั่นใจว่าตนกำลังหลงอยู่ในวังจุฑาเทพหรือเปล่า ทำไมมันดูตระการตาไปเสียทุกอย่างเช่นนี้
“เดินได้แล้วเหรอ ฟื้นตัวเร็วนี่” เสียงนั้นทำฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบหันไปยังเจ้าของเสียงตรงมุมหนึ่งของบ้าน ชายคนนั้นคาบบุหรี่ที่ไม่ได้จุดไฟในปาก เขาวางเครื่องเล่น PlayStation5 บนโต๊ะกระจกเลื่อมทองตรงขอบ เอนหลังพิงพนักโซฟากำมะหยี่สีแดงสด ไขว่ห้างมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่งยากจะเข้าใจ
คิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานเรื่องผู้ชายอยู่มาก ฉันเคยคิดมาอย่างนั้นตลอดกระทั่งเจอเขา…
พอสติกลับมาครบ ดวงตาไม่พร่าเบลอเพราะน้ำฝน ฉันถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเห็นเมื่อครั้งอยู่บนสะพานเทียบไม่ได้กับชายรูปงามตรงหน้าเลย ถึงจะนั่งอยู่ แต่ก็สามารถดูออกว่าเขาต้องสูงไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร เขาไว้ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลเทา ไม่แน่ใจว่าได้จากการย้อมหรือผมจริง เพราะฉันแอบเห็นว่านัยน์ตาเขามีสีอ่อนเฉกเช่นคนตะวันตก ไหนจะใบหน้าที่เหมือนกับได้รับการปั้นมาอย่างดีจากนักวาดมือหนึ่งของโลก คิ้วหนาเข้มพาดวางสวยบนกรอบหน้ารับกับดวงตาเรียวสวยเบ้าลึกดันจมูกเขาให้โด่งเด่น ริมฝีปากบางแทบจะแดงคล้ำตัดกับสีผิวไม่ขาวไม่คล้ำของเขาได้เป็นอย่างดี หากบอกว่านี่คือสิ่งที่เอไอสร้างขึ้น ฉันไม่ลังเลที่จะเชื่อเลยสักนิด
“หิวไหม ผมจะให้คนเอาอาหารมาให้” เขายังพูดต่อด้วยท่าทางสบาย ทำเหมือนกับว่าเราสองคนรู้จักกันมานาน หาใช่คนแปลกหน้าไม่
“ค่ะ” พอพูดเรื่องอาหาร สัญญาณการมีชีวิตอยู่ก็แจ้งเตือนทันที ท้องของฉันร้องโครกครากเสียงดังจนน่าอาย หวังว่าเขาจะไม่ได้ยินมันนะ
ทว่าเสียงหัวเราะหึเบา ๆ การฉีกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์นั่นทำให้ฉันรู้เองโดยอัตโนมัติว่าเขาคงได้ยินมันแล้วนึกขำในใจแน่
“นั่งสิ ผมจะไปหาน้ำอุ่นมาให้”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉัน…”
“นั่ง”
คำประกาศิต นั่นฟังดูไม่เกินไปเลย เคยเจอมันกับตัวถึงขั้นควบคุมร่างกายไม่ได้ก็คราวนี้แหละ เขาแค่ทำหน้าเรียบนิ่ง จ้องตาฉันล้ำลึกแล้วออกปากพูดคำเดียวสั้น ๆ ด้วยเสียงทุ้มโทนต่ำ นั่นก็ทำให้หนาวสั่นไปถึงไขกระดูกเสียแล้ว
นี่ฉันรอดตายมาเจออะไรกันนะ
“ดีมาก คุณอยู่เฉย ๆ อย่าขยับตัวมากเข้าใจไหม” เขาฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อฉันทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย หากเราสนิทกันมากกว่านี้ น่าคิดว่าเขาคงไม่ลังเลจะให้รางวัลฉันเป็นกระดูกชิ้นโตเหมือนลูกหมาตัวเล็ก ๆ เป็นแน่
“ค่ะ”
เขาทำท่าเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง อ้าปากค้างไว้สักพักก่อนงับมันลงแล้วเดินหายออกไปไหนสักที่ ไม่นานก็กลับมาพร้อมแก้วเซรามิกหนึ่งใบในมือ เดาว่าคงเป็นน้ำอุ่นไม่ก็ชาร้อน เพราะแอบเห็นว่ามีบางอย่างห้อยออกมาจากแก้วใบเล็ก
“ดื่มนี่แล้วจะดีขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ” รับมันไว้อย่างว่าง่าย ฉันไม่กล้าแม้กระทั่งเงยหน้าสบสายตาเขาแม้เพียงเสี้ยววินาที ไม่แน่ใจว่ากำลังกลัวอะไรกันแน่
บางทีอาจเพราะเขาแปลก
บางทีเพราะเราคือคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาอยู่ด้วยกัน
เพราะเขาดูน่ากลัว หรือไม่คงเพราะเขาหล่อเหลาชวนหัวใจสั่นไหวก็เป็นได้
ใด ๆ คือฉันเองยังไม่รู้จักเขา ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของแผนที่กรุงเทพฯ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้ฝันหรืออยู่ในขั้นโคม่าแล้วจินตนาการโลกอีกใบขึ้นมาก่อนตายกันแน่