“อย่าทำอะไรบ้าเลือดนะ ดาวขอ”
ผมได้แต่อมยิ้มให้กับความรู้ทันของน้องสาวตัวเอง เธอยังเป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุดไม่เปลี่ยนแปลง
“อย่ายิ้มแบบนั้นล่ะพี่เวย์ ถือว่าขอนะ”
“เอาน่า พี่ดูแลตัวเองได้ กลับไปหาลูกได้แล้ว”
ผมเอ่ยปากไล่ดาวก่อนจะหันหลังเดินออกมาทันที คริสรีบวิ่งตามผมมาติด ๆ ก่อนที่ผมจะหันไปสั่งมันให้เตรียมล่าในคืนนี้
“คริส”
“ครับนาย”
“เบิกปืนไรเฟิลให้กูด้วย”
“ครับ”
มันรีบเดินออกไปอีกทางทันทีเพื่อจัดการเรื่องที่ขอ คลังอาวุธของไวท์โรสที่เหลือถูกย้ายมารวมเข้ากับโกดังของทางแบล็คไวท์ การจะใช้งานมันต้องมีการตรวจตราที่เข้มงวดยกเว้นในกรณีฉุกเฉินที่จะไม่มีการบันทึกข้อมูลไว้
ไม่นานไอ้คริสก็กลับมาหาผมพร้อมกับปืนที่ขอ ผมเปิดดูเล็กน้อยก่อนจะโยนมันไว้ที่เบาะหลัง
“เลือกได้ดีเลยนะ”
“ผมเลือกกระบอกโปรดของนายมาครับ ขอให้สนุกในการล่าครับ”
“อืม คุ้มกันห่าง ๆ พอ กูจะลงมือคนเดียว”
ผมบอกมันแค่นั้นแล้วขึ้นรถขับออกมาเลย เมื่อกี้ก่อนจะแยกกันพ่อของเทวาได้บอกข้อมูลสำคัญมาให้ผม
‘คืนนี้เฟนเนคจะมีการส่งของที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง’
แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไรต่อ ตอนนี้ยังเป็นเวลาแค่สี่โมงเย็น การขนย้ายน่าจะเริ่มประมาณเที่ยงคืนยังพอมีเวลาให้ผมหาจุดซุ่มยิงดี ๆ อยู่
ผมขับรถไปอย่างไม่รีบร้อนและปล่อยให้คริสกับลูกน้องบางส่วนขับรถตามห่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตากับคนอื่น ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย
ท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างเป็นที่ที่เหมาะมากในการใช้ขนของผิดกฎหมายทั้งหลาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเลือกที่นี่.....
“นายน้อยครับ ผมตรวจสอบเท่าที่จะทำได้แล้วครับ”
“เจออะไรไหม?”
“ยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษครับ คาดว่าคงยังควบคุมลูกน้องได้ไม่หมด ผมรู้มาว่าบางคนไม่ได้อยากเข้าร่วมกับเฟนเนคแต่จำใจทำเพราะคนในครอบครัวถูกจับเป็นตัวประกัน”
“งั้นเหรอ ถอยออกไปกันได้แล้ว หลังจากเสร็จงานที่นี่ฉันจะออกไปที่จุดนัดพบเอง”
“ครับนายน้อย”
ผมเจอจุดที่เหมาะกับการซุ่มยิงอยู่สองสามที่จึงเลือกทำเลที่สูงหน่อยเพื่อจะได้มองเห็นทุกอย่างชัด ๆ ก่อนจะจัดการเอาปืนไรเฟิลออกมาเช็คสภาพ
ไรเฟิล M24 เป็นปืนที่ผมฝึกใช้มาตั้งแต่เด็ก ๆ มันเป็นปืนที่เหมาะกับการซุ่มยิงและพลังทำลายของมันก็ไม่ธรรมดา
ตัวปืนติดกล้องอินฟาเรดมาให้ด้วยพร้อมกับกระสุนสำรองอีกจำนวนหนึ่ง ผมลองใช้มันเล็งไปรอบ ๆ เพื่อทำให้ตัวเองชินมือ ถึงจะใช้มันบ่อยแต่ระยะหลัง ๆ มาผมแทบไม่ได้แตะมันเลย
“ดูแลอย่างดีเลยสินะ”
คนที่ดูแลอาวุธนี้ต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญพอตัว ปืนสภาพไม่ได้ใหม่มากแต่กลับดูเหมือนมีการทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่ต้องปรับอะไรมาก
ผมรอเหยื่อให้มาติดกับอย่างใจเย็นถึงจะเมื่อยไปบ้างที่ต้องอยู่ท่าเดิมหลายชั่วโมงแต่ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง เวลาเที่ยงคืนตรงเสียงรถหลายคันขับเข้ามาจอดช้า ๆ ทำให้ผมตื่นตัวเต็มที่
พวกมันทุกคนติดเข็มกลัดที่เป็นสัญลักษณ์จิ้งจอก บางคนมีรอยสักที่บ่งบอกว่าเป็นคนของเฟนเนคสักไว้ด้วย
“เรือล่ะ?”
“กำลังมาครับ”
เสียงที่พวกมันคุยกันผมได้ยินชัดแจ๋วเพราะเครื่องดักฟังที่แอบติดไว้ล่วงหน้า เรือลำเล็กปิดไฟวิ่งเข้ามาจอดเทียบท่าช้า ๆ ก่อนจะใช้ไฟฉายส่งสัญญาณแจ้งคนบนฝั่ง
“มาแล้วครับ”
“อืม ไปจัดการให้เรียบร้อยเช็คของทุกกล่องให้ดีเพราะงานนี้ถ้าพลาดคุณคาลมาเอาพวกเราตายแน่”
“คะ ครับ”
เมื่อเรือจอดเทียบท่าสนิทแล้วผมเห็นกัปตันเรือเดินยิ้มเข้ามาจับมือคนที่รออยู่บนฝั่ง ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันเป็นอย่างมากคงทำแบบนี้กับมานับครั้งไม่ถ้วน
ผมลดเสียงหูฟังลงเล็กน้อยแล้วตั่งสมาธิไปที่เป้าหมายตรงหน้า ไม่สนหรอกว่าพวกมันเป็นใครจะเข้ากันได้หรือไม่ได้เพราะเฟนเนคก็คือเฟนเนค
พวกสวะที่เอาแต่ทำร้ายคนบริสุทธิ์โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น
“เอาล่ะ หัวแรกมึงก็แล้วกัน”
ผมเล็งเป้าคนที่อยู่ห่างที่สุด ปลายนิ้วแตะไกปืนเล็กน้อยก่อนจะออกแรงกด
ฟุ่บ....
เสียงจากท่าเรือทำให้กลบเสียงปืนไปจนหมด มันล้มลงและตายไปโดยที่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นผมรีบดึงลูกเลื่อนเพื่อนำกระสุนนัดใหม่เข้ารังเพลิง ปลอกกระสุนเปล่าตกลงข้างตัวดัง ‘แกร๊ก’ พร้อมกับเล็งคนต่อไปทันที
“คนที่สอง.....”
ผมเล็งไปที่ชายอีกคนที่กำลังเดินไปดูศพเพื่อนและก่อนที่มันจะได้บอกคนอื่น ๆ กระสุนเพชฌฆาตก็พุ่งเข้าหัวมันอย่างแม่นยำจนมันลงไปนอนกองกับศพแรก
“คนที่สาม....”
ผมเลือกเล็งยิงคนที่ห่างมากที่สุดเพื่อตีวงล้อมเอาไว้ก่อน ทุกอย่างเป็นไปตามแผนราวกับจับวางใครก็ตามที่เดินมาเจอศพก็จะกลายเป็นศพซะเอง
จนในที่สุดท่าเรือก็เหลือคนไม่มาก พวกมันมัวแต่ขนของลงจากเรือมาไว้ที่ท่าจนไม่ได้สังเกตความผิดปกติรอบ ๆ ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“ถึงเวลาแล้ว....”
ผมเก็บไรเฟิลเข้ากระเป๋าพร้อมกับหยิบโม่งดำมาสวมปิดใบหน้าเอาไว้ก่อนจะคว้าไรเฟิลจู่โจมมาเช็คกระสุนให้พร้อม หลังจากตรวจสอบจนมั่นใจแล้วจึงค่อย ๆ อาศัยเงามืดคืบคลานเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ
“ของครบใช่ไหม ไม่ขาดอะไรนะ”
“ใช่ รอบนี้เป็นของคุณภาพดีด้วยคงได้ราคาดีไม่น้อย”
“หวังว่านายของคุณจะพอใจ พวกผมต้องไปแล้ว”
“อืม ไว้เจอกันงานหน้า”
“ครับ”
กัปตันกำลังจะเดินกลับไปขึ้นเรือเพื่อเตรียมออกจากท่าเรือแต่มันคงไม่คิดว่าคืนนี้ที่นี่จะกลายเป็นที่ตายของมัน
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!!
“เฮ้ย! มีคนลอบยิงพวกเรา!”
ผมยิงกระสุนเจาะหัวกัปตันและลูกน้องจนพวกมันลงไปนอนจมกองเลือดและตายในพริบตา พวกที่เหลือเอะอะโวยวายก่อนจะแยกย้ายกันหลบทันที
“คนของเราไปไหนหมด!”
“ไม่ทราบครับ! ไม่มีใครตอบเลย!”
“เวรเอ้ยยยย”
หัวหน้าของพวกมันสบถออกมาด้วยความเจ็บใจเพราะยังหาผมไม่เจอผมใช้ทักษะที่มีให้เป็นประโยชน์และไล่เก็บพวกมันทีล่ะคน ๆ จนเหลือแค่สาม-สี่คนสุดท้าย
“แน่จริงก็ออกมาดิว่ะ ไอ้หมาลอบกัด!!”
ฟุ่บ....
“ไอ้เวรนี่ บ้าจริง พวกเราถอยก่อน!”
พวกมันที่เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกกับผมที่มาสำรวจสถานที่ก่อนแล้วใครได้เปรียบก็คงไม่ต้องบอก ผมจำทางหนีทีไล่ทั้งหมดได้และคืนนี้จะไม่มีใครรอดจากเงื้อมมือผมได้ทั้งนั้น
ถ้าผมไม่อนุญาต.....
ฟุ่บ ฟุ่บ....
กระสุนสองนัดตัดขั้วหัวใจอย่างแม่นยำราวกับจับวาง ตอนนี้เหลือแค่หัวหน้าพวกมันที่กระเสือกกระสนหนีตายเท่านั้น ใบหน้าที่เคยหยิ่งยโสเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“คนของเฟนเนคมีฝีมือแค่นี้งั้นเหรอ”
ผมดึงโม่งดำออกเผยใบหน้าตัวเองให้อีกฝ่ายได้เห็น มันเบิกตากว้างพร้อมกับยกมือไหว้ขอชีวิตไม่หยุด
“ขะ คุณเวกัส วะ ไว้ชีวิตผมด้วย”
ผมจำมันได้ มันเป็นคนที่อยู่ในวีดิโอวันที่พ่อผมตาย เป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อผมและเป็นคนที่หักหลังพ่อผมด้วย
“โทษที ฉันไม่ใช่พ่อพระน่ะ”
“อ๊ากกก อุ่บบบ!!”
“อย่าแหกปาก มีดแค่นี้ไม่ทำให้ถึงตายหรอก”
ผมปามีดเล่มเล็กปักเข้าดวงตามันอย่างจังก่อนจะยัดหมวกในมืออุดปากมันที่ร้องโหยหวนไว้
“ความปราณีเขามีไว้ให้คนที่ควรได้รับ แกทรยศฉัน ทรยศพ่อฉันที่ชุบเลี้ยงแกมา ถามหน่อยสิทำไมฉันต้องไว้ชีวิตแกด้วย?”
“อื้อออ!!!!!!!”
มันดิ้นทุรนทุรายเหมือนไส้เดือนที่โดนน้ำร้อนราดไม่มีผิด ผมตัดหูทั้งสองมันช้า ๆ และประณีตเพื่อให้มันทรมานที่สุดก่อนจะพูดต่อ
“หูที่ฟังคำคนอื่นและสนใจแค่ผลประโยชน์แกคงไม่ต้องใช้มันแล้ว”
ดวงตาที่เหลือข้างเดียวมองผมด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ มันพยายามยกมือขึ้นมาล้วงเข้าไปในเสื้อแต่ก็ถูกผมหยุดเอาไว้ซะก่อนด้วยมีดอีกเล่มที่ปักทะลุมือและตรึงไว้กับดิน
“แกถนัดขวานี่ ฉันจำได้”
“อื้ออ อึก อื้ออ!!”
“ส่วนนี่ ตอบแทนที่แกทรยศไวท์โรส!”
ผมปักมีดอีกเล่มเข้าตาที่เหลืออีกข้างอย่างรวดเร็วร่างของมันกระตุกอีกไม่กี่ทีก็ขาดใจตายเพราะหายใจไม่ออก ผมดึงหมวกที่ยัดปากมันไว้ออกก่อนจะหยิบกุหลาบขาวที่พ่อชอบมาถือไว้
“พ่อครับ ผมจะล้างแค้นทุกคนที่มันทำกับพ่อแบบนั้น โดยเฉพาะไอ้คาลมา....มันจะต้องตายอย่างทรมานที่สุด ผมสัญญา.....”
ผมจัดการให้คนตรงหน้าคาบดอกกุหลาบไว้ เลือดสีแดงของมันไหลลงมาย้อมกลีบกุหลาบจนกลายเป็นสีของเลือด
“คริส ออกมาได้แล้วกูรู้ว่ามึงดูอยู่”
“ครับนายน้อย”
“เก็บกวาดหลักฐานให้หมด ขนของพวกนั้นไปทำลายด้วย”
“แล้วศพล่ะครับ ให้ผมเอาไปทิ้งเลยไหม”
“ไม่ต้อง เอาไว้แบบนี้ล่ะ”
“ครับนายน้อย”
มันคือการประกาศสงครามจากผมถึงไอ้คาลมา นับจากนี้เป็นต้นไปมันกับผมต้องตายกันไปข้าง
สงครามระหว่างไวท์โรสกับเฟนเนคได้เริ่มขึ้นแล้ว.....