สองวันต่อมามินตราก็พบว่าชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอไม่ได้ไปสอนเด็กประถมที่โรงเรียน ไม่ได้ไปตลาดเดินนัด ไม่ได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับป้าจันทร์และลุงชิดอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้เธอถูกพามายังคฤหาสน์หรูใจกลางกรุงเทพฯ และถูกฝึกให้เป็นมันตราอย่างเข้มข้น
ถึงแม้คุณสันติจะบอกว่าหน้าตาของเธอและมันตราเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออกแต่มันก็ยังมีความต่างอยู่บ้าง
“บุคลิกของมันตราเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง มีเสน่ห์ ชอบเข้าสังคมและค่อนข้างเจ้าชู้” เสียงของครูฝึกสาวใหญ่ผู้มีใบหน้าดุและแววตาเฉียบคมเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังฉายภาพมันตราในอิริยาบถต่างๆ บนจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ในห้องที่ดูเหมือนห้องประชุมส่วนตัว
“นั่นมันต่างกับฉันมาก” มินตรามองภาพผู้หญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งหน้าแต่งตัวต่างจากเธออย่างชัดเจน
“เธอชอบแต่งตัวทันสมัย สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม ไม่ชอบสีพาสเทลอ่อนๆ เหมือนที่คุณใส่”
มินตรานั่งฟังอย่างตั้งใจ จดจำรายละเอียดทุกอย่างที่ครูฝึกบอก แม้ในใจจะรู้สึกอึดอัดกับบุคลิกที่ต้องสวมรอย มันตราดูเป็นผู้หญิงที่ตรงกันข้ามกับเธอคนละขั้ว
“คุณต้องฝึกการเดิน การพูด การมอง ไม่ใช่หลบสายตาแบบนี้ มันตราไม่เคยหลบสายตาใคร เธอเชิดหน้าเสมอ และชอบสบตาคู่สนทนาตรงๆ” ครูฝึกตำหนิเมื่อเห็นมินตราก้มหน้าหลบสายตา
มินตราพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างหนัก จากสาวน้อยผู้อ่อนโยนเรียบง่าย กลายเป็นหญิงสาวที่ต้องแสดงออกถึงความมั่นใจและเชิดหยิ่ง
เธอต้องเรียนรู้เรื่องราวชีวิตของมันตราทั้งหมด ตั้งแต่การศึกษา ความชอบส่วนตัว รสนิยมด้านอาหาร เพลง ภาพยนตร์ ไปจนถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างและที่สำคัญที่สุดคือว่าที่เจ้าบ่าวอย่างกวินภพ
เธอต้องสวมเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคย ทั้งเดรสรัดรูป กระโปรงสั้น รองเท้าส้นสูง ชุดเซ็กซี่ จนบางครั้งทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง
แต่เมื่อเห็นครูฝึกมองด้วยสายตาดุๆ เธอก็ต้องยอมจำใจสวมใส่
“มันตราดื่มไวน์แดง ไม่ดื่มน้ำผลไม้ เธอชอบค็อกเทลรสจัด ไม่ใช่หวานๆ แบบนี้” ครูฝึกสอนในมื้อค่ำที่จัดจำลองขึ้นราวกับเป็นงานเลี้ยงสังคม
มินตราพยายามกลืนไวน์แดงรสฝาดลงคอ แม้จะรู้สึกขมปร่าและไม่ชอบรสชาติ แต่ก็ต้องพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ช่วงเวลาของการฝึกฝนผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่มินตราก็ทุ่มเทเต็มที่ เธอรู้ดีว่าอนาคตของป้าจันทร์และลุงชิดขึ้นอยู่กับเธอ หากเธอทำไม่สำเร็จทุกอย่างจะจบลง และครอบครัวบุญธรรมของเธออาจต้องเดือดร้อนไปตลอด
วันหนึ่งในขณะที่มินตรากำลังฝึกการเดินอยู่ในห้องโถงกว้างใหญ่ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เป็นยังไงบ้างหนูมิน เรียนรู้ไปถึงไหนแล้ว” เสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยถามขึ้น
“ก็พอได้ค่ะคุณลุง”
“หนูต้องเรียกลุงว่าพ่อให้ชินปาก และแทนตัวเองว่ามิ้นต์นะ”
“ค่ะ คุณพ่อ” หญิงสาวปรับสีหน้าให้ดูมั่นใจขึ้นเล็กน้อยตามที่ครูฝึกสอนมา
“ดูเหมือนหนูจะปรับตัวได้ดีขึ้น” สันติเอ่ยขึ้นขณะที่เดินวนรอบตัวมินตรา สายตาของเขากวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“จริงเหรอคะ” เธอดีใจที่เขาบอกเพราะเบื่อกับการฝึกแล้ว
“แต่ก็ยังขาดบางอย่าง”
มินตรายืนนิ่ง เธอกลัวว่าตัวเองจะทำผิดพลาดอะไรไปแต่ก็คิดว่าทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว
“ขาดอะไรคะ”
“เสน่ห์น่ะ หนูต้องมีเสน่ห์กว่านี้ สายตาที่มองต้องไม่ใสซื่อ”
“แล้วหนูต้องทำยังไงล่ะ” เธอรู้สึกว่ากำลังล้มเหลวและไม่รู้จะทำอย่างไรให้ตัวเองมีเสน่ห์แบบที่เขาพูด
“เดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ” ครูที่ยืนอยู่รีบบอก
“ผมฝากครูด้วยนะ เหลือไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งแล้วต้องเต็มที่กันหน่อย”
“ไม่มีปัญหาค่ะ” คุณครูรับปากอย่างหนักแน่น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมามินตราก็ถูกพาไปลองชุดแต่งงานซึ่งก่อนหน้านี้มันตราสั่งตัดไว้แล้ว วันนี้เธอก็แค่มาลองว่ามันพอดีตัวของเธอไหม หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เจอกับกวินภพเป็นครั้งแรกแต่ก่อนหน้านั้นเอก็ดูรูปเขามามากพอแล้ว โชคดีว่าเขากับมันตราไม่ได้สนิทกันมากเท่าไหร่
ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ถูกออกแบบมาอย่างงดงามและตัดเย็บอย่างประณีต กระโปรงติดคริสตัลระยิบระยับ มินตราสวมใส่มันแล้วกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ชุดของเธอ ชุดที่ควรจะบ่งบอกถึงความรักและความสุข กลับกลายเป็นชุดที่ต้องสวมบทบาท เป็นเพียงเครื่องมือในการแสดงละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ
ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมเข้ามาดูแลเธออย่างพิถีพิถัน ใบหน้าของมินตราถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดี ดวงตาคู่โตถูกกรีดอายไลเนอร์ให้คมเข้ม ริมฝีปากถูกระบายด้วยลิปสติกสีสด ผมยาวสลวยถูกจัดแต่งทรงให้ดูทันสมัยและหรูหรา เมื่อมองตัวเองในกระจก มินตราแทบไม่เชื่อสายตานี่ไม่ใช่เธอนี่คือมันตราผู้หญิงที่เธอต้องสวมรอยเป็น
ในขณะที่ช่างทำผมกำลังจัดแต่งทรงผมให้เธออยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เปิดออก กวินภพเดินเข้ามาในชุดสูทสีดำสนิทที่ตัดเย็บอย่างดีเยี่ยม ทำให้ร่างสูงใหญ่ของเขายิ่งดูสง่างามและน่าเกรงขามขึ้นไปอีก เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากระจก มองมาที่ภาพสะท้อนของมินตราในชุดเจ้าสาว
มินตรามองตอบเขาผ่านกระจก ในแววตาของกวินภพ เธอไม่เห็นความยินดี ไม่เห็นความรักมีเพียงความนิ่งเฉยและความจริงจัง
แต่เป็นตัวเธอเองที่ใจเต้นแรงเพราะเขาเป็นผู้ชายที่จัดว่าหน้าตาดี รูปร่างดีแบบที่เธอชอบเลยทีเดียว
“เป็นไงบ้างคะคุณภพ ว่าที่เจ้าสาวของคุณสวยไหม” เจ้าของร้านถาม
“สวยครับ” กวินภพเอ่ยสั้นๆ เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้ดูเธอสวยหวานกว่าที่เขาเคยเจอ ชายหนุ่มคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะชุดที่เธอสวมอยู่ก็ได้
“ขอบคุณค่ะ” มินตราตอบเสียงเบา
“ชุดพอดีไหมคะ ต้องแก้ที่ไหนหรือเปล่า”
“ไม่แล้วค่ะ มิ้นต์ว่ามันพอดีแล้ว”
“ของคุณภพล่ะคะ” เจ้าของร้านหันมาถามว่าที่เจ้าบ่าว
“ของผมก็พอดีครับ”
“คุณภพจะรับชุดไปเลยไหมคะ วันมันมะรืนก็จะถึงวันงานแล้ว”
“วันนี้ผมต้องไปธุระต่อ ถ้ายังไงเอาไปส่งที่บ้านก็แล้วกันนะครับ ของคุณล่ะ” เขาหันมาถามมินตรา
“ไปส่งที่บ้านก็ได้ค่ะ”
ทั้งสองคนกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนจะแยกย้ายกันกลับเพราะกวินภพมีงานต่อส่วนเธอนั้นกลับพร้อมกับคุณสันติอาสาขับรถมาส่งเธอลองชุดแต่งงานด้วยตนเอง
หัวใจของมินตราหนักอึ้งเพราะอีกเพียงสองวันก็จะถึงวันที่เธอจะต้องก้าวเข้าสู่พิธีสมรสกับชายที่เธอเคยเจอแค่ครั้งเดียวและคุยกันแทบจะนับคำได้
หญิงสาวจะต้องเริ่มต้นชีวิตคู่ภายใต้ชื่อมันตราและไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรจะมีอะไรรอเธออยู่บ้าง แต่เธอรู้เพียงว่าเธอต้องทำงานให้สำเร็จ