สองชั่วโมงต่อมา 19.40 น.
@บ้านภักดีสิริ
“กลับมาแล้วเหรอยัยดาว เป็นยังไงบ้าง ไปเยี่ยมป้าวิเวียนมา ได้ยินว่าเจอกับพี่คามินด้วยใช่ไหม” แม่เอ่ยถามฉันทันทีหลังจากที่ฉันเดินพ้นประตูหน้าบ้านมา นี่ป้าวิเวียนคงจะโทรคุยกับแม่เรียบร้อยแล้วสินะ
“ใช่ค่ะ เจอกันแล้ว” ทั้งๆที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ เพราะแม่เป็นคนบอกเองว่าพี่คามินไม่ค่อยจะกลับบ้าน แต่ไหงวันนี้ถึงได้โผล่มาตอนที่ฉันไปเยี่ยมป้าวิเวียนพอดีก็ไม่รู้
“เป็นไง พี่เขาหล่อเหมือนที่แม่บอกไหม”
“ไม่เท่าไหร่ค่ะ สู้เพื่อนๆนับดาวที่อเมริกาก็ไม่ได้” ฉันตอบแม่ไปแบบนั้น ทั้งๆที่ความจริงคือพี่คามินเขาหล่อมากๆ ยังคงหล่อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน หรืออาจจะหล่อมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ
เมื่อกี้ฉันยังจำตอนที่สบตากับพี่เขาได้อยู่เลย วินาทีนั้นเหมือนโลกหยุดหมุนยังไงยังงั้น
ทั้งๆที่ไม่เจอเขามาเป็นสิบๆปีแล้ว แต่หัวใจบ้านี่กลับเต้นแรงขึ้นมาเอาซะดื้อๆเลย
“ไม่เท่าไหร่? จริงเหรอลูกแต่แม่ว่าพี่เขาหล่อมากๆเลยนะ แต่เสียอยู่อย่างเดียวเจ้าชู้ไปหน่อย นี่ขนาดอายุสามสิบกว่าแล้วยังไม่คิดแต่งงานมีครอบครัวเลย ป้าวิเวียนก็โทรมาระบายให้แม่ฟังบ่อยๆ ว่าอยากจะอุ้มหลานใจจะขาด”
นี่พี่เขาเจ้าชู้ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ก็ไม่แปลกหรอก ตอนที่เขาเรียนอยู่ม.ปลายกับมหาลัย ก็เปลี่ยนสาวเป็นว่าเล่นเหมือนกัน
“แล้วแม่ล่ะคะ ไม่อยากอุ้มหลานบ้างเหรอ” ฉันแกล้งถามแม่ไป เพราะแม่เองก็บ่นว่าอยากอุ้มหลานเหมือนกัน ติดตรงที่ฉันยังไม่มีแฟน แล้วก็ไม่คิดที่จะมีด้วย
“เหอะ นาทีนี้หาลูกเขยให้ได้ก่อนเถอะจ้ะ นี่แม่ถามแกจริงๆนะ ไม่ถูกใจผู้ชายคนไหนบ้างเลยเหรอ” ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมแม่ถึงได้ถามแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาฉันไม่เคยคบหรือควงผู้ชายคนไหนเลย จนตอนนี้อายุยี่สิบสี่ จะยี่สิบห้าอยู่แล้ว
จะว่าถูกใจมันก็มีอยู่นะ แต่พอคิดจะคบจริงๆ มันก็ทำไม่ได้อะ มันเหมือนว่าฉันยังตัดใจจากเขาไม่ได้ ทั้งๆที่มันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว
“ไว้เดี๋ยวค่อยมาหาที่ไทยก็ได้นี่คะ แม่บอกว่าแม่ไม่ชอบผู้ชายตาน้ำข้าวนี่นา”
“จ้ะ จะคอยดูว่าชาตินี้แม่จะได้ลูกเขยไหม แล้วนี่จะย้ายเข้าคอนโดเมื่อไหร่ แม่จะได้ให้คนจัดการให้”
“ขอเป็นอาทิตย์หน้าแล้วกันนะคะ หนูเพิ่งจะกลับมาได้แค่สามวันเอง แม่ก็จะไล่หนูแล้วเหรอ”
“เปล่าไล่สักหน่อย แม่ก็แค่ถามเฉยๆเอง ถ้าเป็นไปได้แม่ก็อยากให้แกอยู่ที่บ้านหลังนี้กับแม่นี่แหละ อยู่กับพ่อแกสองคนแม่จะเป็นประสาท พ่อแกนะยิ่งแก่ก็ยิ่งไม่ยอมพูด ไม่รู้ว่าจะเก็บปากไว้อมอะไร บางทีเวลาที่แม่พูดกับพ่อแก ก็เหมือนว่าแม่พูดอยู่คนเดียว”
“โถ่ แม่ก็อย่าไปว่าพ่อสิคะ แล้วนี่พ่ออยู่ไหนเหรอคะ ตั้งแต่กลับมาหนูยังไม่เห็นพ่อเลย”
“ที่เดิมแหละจ้ะ รายนั้นนะกลับจากที่ทำงานมาก็มาขลุกอยู่แต่ห้องหนังสือ” ที่แม่พูดก็จริงนะ ตั้งแต่ที่ฉันกลับมาฉันเห็นพ่อเข้าไปสิงอยู่ในห้องหนังสือทุกวันเลย
“งั้นเดี๋ยวหนูขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ เหนียวตัวไปหมดแล้วตอนนี้” เป็นเพราะว่าฉันยังไม่ชินกับอากาศที่ประเทศไทย มันเลยทำให้ร่างกายของฉันผลิตเหงื่อออกมาเป็นจำนวนมาก แล้วตอนนี้ฉันก็รู้สึกว่าเหนียวเนื้อเหนียวตัวไปหมดเลย เฮ้อ
สามสิบนาทีต่อมา
ครืด!! ครืด!! ครืด!!
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งทาครีมบำรุงหน้าอยู่ที่หน้าโต๊ะกระจกนั้น จู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของฉันที่อยู่ใกล้ๆก็ดังขึ้นมา แล้วพอหยิบมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือของฉันตอนนี้
สายเรียกเข้า 095-999-99xx
เบอร์ใคร? ฉันเพิ่งจะซื้อซิมใส่เมื่อวานเองนะ!!
ฉันได้แต่จ้องมองดูอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่คิดจะรับสายแต่อย่างใด เพราะกลัวเป็นพวกมิจฉาชีพด้วยไง
และ.....
ติ้ง!!
จู่ๆข้อความก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของฉัน ซึ่งพอเห็นแบบนั้นฉันก็กดเข้าไปอ่านทันที เพราะมันส่งมาจากเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อกี้
+66 95 -999-99xx
นี่เบอร์พี่เองครับ พี่คามิน เห็นแล้วโทรกลับทีนะ
พี่คามินงั้นเหรอ แล้วนี่เขาไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหน หรือว่าจะเป็นแม่ที่ให้ไป ต้องใช่แน่ๆ
เพราะคนที่มีเบอร์ฉันตอนนี้ก็มีแค่ พ่อ แม่ กับยัยกุ๊กไก่ เพื่อนสนิทสมัยเรียนตอนมัธยมต้นที่ฉันยังคงติดต่อกับมันไม่เคยขาด ถึงแม้ว่าฉันจะย้ายไปอยู่ที่อเมริกานานนับสิบปีก็ตาม
แล้วเขาโทรมาทำไม?
ด้วยความสงสัยฉันจึงกดโทรไปหาเขา และไม่ถึงสามวินาทีเสียงปลายสายก็ดังขึ้นมา
(พี่ก็นึกว่าเราจะไม่โทรกลับหาพี่ซะแล้ว)
“คุณมีอะไรเหรอคะ?”
(นี่จะเรียกพี่ว่าคุณจริงดิ เมื่อก่อนนับดาวเรียกพี่ว่าพี่คามินไม่ขาดปากเลยนี่นา)
“นับดาวบอกแล้วไงคะ ว่าเราไม่สนิทกัน”
(โอเคครับ ไม่สนิทก็ไม่สนิท พอดีแม่พี่ให้โทรมาถามว่าเราถึงบ้านหรือยัง) อ่อ นี่คือเหตุผลที่พี่เขาโทรมาสินะ
“ถึงแล้วค่ะ ฝากบอกคุณป้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
(ครับ ไว้เดี๋ยวพี่บอกแม่ให้ ว่าแต่พรุ่งนี้เรามีแพลนไปเที่ยวที่ไหนไหม?)
“ทำไมคะ คุณจะพาฉันไปเที่ยวเหรอ?” นี่ก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะตอบว่าใช่ แต่สุดท้ายคำตอบของเขาก็ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นมา
(ก็ถ้าเราไม่ว่าอะไร พี่ก็ยินดีอาสาพาเราไปเที่ยวได้นะ)
“งั้นเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะ พอดีพรุ่งนี้ฉันนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว” เพื่อนที่ว่าก็คือยัยกุ๊กไก่นั่นแหละ พอดีพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของนาง แล้วนางก็บอกจะพาฉันไปเที่ยวแล้วด้วย
(โอเคครับ เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ แต่พี่ขออนุญาตแอดไลน์เราไว้ได้ไหม พี่แอดเบอร์นี้ได้เลยหรือเปล่า) นี่เขากำลังจะขอช่องทางการติดต่อของฉันเพิ่มสินะ
“ได้ค่ะ แต่ว่าฉันไม่ค่อยได้เล่นสักเท่าไหร่นะคะ เวลาคุณทักมาฉันอาจจะตอบช้า หรือว่าไม่ได้ตอบ” ความจริงฉันเล่นตลอดนะ เวลาคุยกับยัยกุ๊กไก่ ฉันก็คุยผ่านไลน์นี่แหละ แต่คือฉันพอใจที่จะตอบเขาไปแบบนี้ไง
(ครับไม่เป็นไร อย่างน้อยพี่ก็จะได้ส่งข้อความหาเราได้ง่ายๆหน่อย) ส่งข้อความหาฉันได้ง่ายอย่างนั้นเหรอ
“ตามใจค่ะ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้ก่อนนะคะ”
(โอเคครับ พี่ไม่รบกวนเราแล้ว ยังไงคืนนี้ก็...ฝันดีนะครับ)
‘ฝันดีนะครับ ฝันดีนะครับ ฝันดีนะครับ’
ไม่รู้ว่าพี่คามินกดวางสายไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ตอนนี้ฉันยังถือโทรศัพท์แนบหูตัวเองแล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงหน้ากระจกอยู่เลย เพราะไอ้ประโยคสุดท้ายเมื่อกี้นี่แหละ
ฝันดีบ้าบออะไรกัน แล้วนี่แกจะยิ้มอีกนานไหม จำที่เขาเคยปฏิเสธแกเมื่อสิบปีก่อนไม่ได้หรือไง
พอคิดถึงเหตุการณ์นั้น ภาพความทรงจำเมื่อสิบปีก่อนมันก็แล่นเข้ามาในหัวของฉันทันที มันเป็นภาพความทรงจำที่ฉัน
ไม่มีวันลืม!!!
‘พี่คามินคะ นับดาวมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่’
‘ว่ามาสิ เรามีอะไรจะคุยกับพี่’
‘คือว่า นับดาวจะต้องย้ายไปอยู่กับแม่ที่อเมริกาเดือนหน้า เรื่องนี้พี่รู้แล้วใช่ไหม?’
‘อาฮะ แม่บอกพี่แล้ว ว่าแต่มีอะไรเหรอ?’
‘คือว่านับดาวไม่รู้ว่าจะต้องไปอยู่ที่นั่นนานไหม แต่ก่อนไปนับดาวตัดสินใจแล้วว่าจะพูดเรื่องนี้กับพี่’
‘เรื่องอะไร แล้วทำไมเราถึงต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วย’
‘คือว่านับดาว....ชอบพี่คามินค่ะ ชอบพี่มากๆ ชอบในแบบที่ผู้หญิงคนนึงจะชอบผู้ชายได้’
‘………..’
‘นับดาวไม่รู้ว่าตัวเองชอบพี่ไปตอนไหน แต่พอมารู้ตัวอีกทีนับดาวก็ชอบพี่ไปแล้ว’
‘เดี๋ยวนะนับดาว เรากำลังสารภาพรักกับพี่อยู่ใช่ไหม?’
‘เอ่อ จะว่าแบบนั้นก็ได้ค่ะ’
‘นับดาว พี่จะพูดกับนับดาวตรงๆเลยนะ…’
‘…พี่ไม่ชอบเด็ก ยิ่งเด็กที่ตัวอ้วนๆดำๆแบบเรา พี่ก็ยิ่งไม่ชอบ แล้วจะไม่มีวันชอบด้วย’