บทที่ 11 ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง
หลังจากที่มิชรินทร์อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้ลงมาทานข้าวด่านล่างห้องครัวก่อนที่จะออกไปข้างนอก พร้อมกับกวาดสายตามองหาคนตัวสูงไปด้วย
“ไปทำงานหรือยังนะ” ริมฝีปากบางพึมพำเบา ๆ พร้อมกับหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมารินใส่ในแก้วใบใส
“ริน”
เจ้าของใบหน้าสวยหันขวับ พร้อมกับฉีกยิ้มส่งให้อัลเฟรด ที่เรียกเธอจากทางด้านหลัง เธอเอียงคออย่างสงสัย
“คะ?”
“ผูกเนกไทให้พี่หน่อยสิ” ทายาทตระกูลดังเอ่ยบอกหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า อีกหนึ่งมือยื่นเนกไทสีเข้มให้เธอ
ในขณะเดียวกัน การร้องขอของเขาทำให้มิชรินทร์กระอักกระอ่วน
“เอ่อ…รินผูกไม่เป็นค่ะ” ปากเล็กพูดออกมาตามความจริง เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่ค่อยได้ทำอะไร ผู้เป็นแม่ทำให้ทุกอย่าง หน้าที่ของเธอมีเพียงแค่ดูเนื้อคู่ให้คนอื่นเป็นแค่นั้น
“อืม ไม่เป็นไร” ปากหนาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เดิมทีการที่ให้เธอมาช่วยผูกเนกไทให้ เพราะว่า จะหลอกให้เธอเชื่อเขาจนสนิทใจ เพราะส่วนใหญ่หน้าที่ผูกเนกไทนี้จะมีเพียงคนที่รักกันเท่านั้น จะทำให้กัน คิดไม่ถึงว่าคนตัวเล็กนี้จะทำอะไรไม่เป็น
“ขอโทษนะคะ..” คนตัวเล็กก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด เธออยากจะผูกให้เขา ทว่าหากเธอผูกไม่เป็นแล้วทำให้เขาแบบส่ง ๆ ไป นั่นจะทำให้คนตัวสูงอับอายต่อหน้าคนที่พบเห็นหรือเปล่า
“…..”
อัลเฟรดไม่พูดอะไร มือหนาก็เอาเนกไทมาผูกเอง จากนั้นร่างหนาของเขาก็ได้เดินออกไป เพียงชั่วพริบตา มิชรินทร์เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงได้เอ่ยปากถามเขา
“พี่เฟรดไม่ทานข้าวก่อนเหรอคะ”
คนตัวสูงใช้หางตามองมายังร่างเล็กแวบนึง แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ
“ไม่ล่ะ”
“ค่ะ เดินทางดี ๆ นะคะ เดี๋ยวรินรอ….”
อัลเฟรดไม่ตอบมิชรินทร์สักคำ ยังคงทำสีหน้าราบเรียบแล้วเดินออกไป ต่างจากคนตัวเล็กได้แต่มองแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงอย่างไม่วางตา ใบหน้าสวยเคลือบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ใจเต้นแรงทุกครั้งเมื่อนึกถึงฉากร่วมรักกับเขา นั่นเป็นเพราะว่าเธอหลงรักเขาเข้าอย่างจัง ….
ครู่หนึ่งริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากันแน่น มีเพียงแวบเดียว ใจของมิชรินทร์ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา เธอรู้สึกได้ว่าการกระทำของอัลเฟรดช่างเย็นชาเสียจริง หรือว่าเธอคงคิดมากไปเอง จนป่านนี้เขายังไม่ขอเธอเป็นแฟนเลย
“คงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยพูดแหละมั้ง ให้เวลาหน่อยแล้วกัน” มิชรินทร์พึมพำ
คนตัวเล็กยังคงปลอบใจตัวเองไม่คิดอะไรมาก หย่อนสะโพกอันกลมกลึงนั่งเก้าอี้ แล้วกินข้าวต่อไป
ผ่านไปครู่หนึ่งร่างเล็กทานข้าวจนรู้สึกอิ่ม ก็เอาจานมาล้างที่อ่าง แม้หน้าที่นี้จะเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน ทว่าเธอไม่อยากทิ้งให้แม่บ้านต้องมาทำ อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มิชรินทร์พอทำได้ เธอก็จะทำ เธอเป็นเพียงผู้อาศัยจะทำแบบเจ้าของบ้านไม่ได้
เมื่อล้างจานเสร็จ เธอหยิบกระเป๋าสะพายข้างแบบผ้าออกมาสะพายไว้ พร้อมกับเปลี่ยนชุดเดรสสีอ่อนแขนยาวคลุมเข่า เพราะเมื่อคืนทายาทตระกูลดังได้บีบเคล้น ดูดดื่มร่างกายของเธอจนทิ้งร่องรอยตราประทับเอาไว้เต็มไปหมด คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ใช้เครื่องสำอางปกปิดพรางรอยพวกนี้เอาไว้ให้แนบเนียนที่สุด ทาริมฝีปากด้วยลิปสติกสีพีชเคลือบด้วยลิปกลอสฉ่ำวาว การแต่งแต้มเพียงเล็กน้อยกลับทำให้มิชรินทร์ดูสวยน่ารักน่าทะนุถนอมขึ้นมาหลายเท่า
เธอหมุนตัวเช็คความเรียบร้อยหนึ่งรอบออกจากบ้านของตระกูลอัลไปยังบ้านของผู้เป็นพ่อและแม่
สองเท้าเล็กเดินมาถึงหน้าบ้านของตระกูลอัล เป็นบ้านหลังเดียวที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนี้ ดวงตาคู่งามกวาดสายตามองหาว่าเธอจะออกไปอย่างไรดี เพราะเส้นทางแถวนี้เป็นที่ดินของตระกูลอัลทั้งหมด แม้ถนนยังเป็นถนนส่วนบุคคล ยากนักที่จะมีรถผ่านมาสักคัน
เพียงชั่วพริบตาก็ได้มีรถแท็กซี่คันหนึ่งผ่านมาทางนี้พอดี
มิชรินทร์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ รู้สึกว่าทำไมโลกช่างใจดีกับเธอขนาดนี้นะ
มือเล็กโบกเรียกรถแท็กซี่ให้จอด เพราะป้ายแท็กซี่ยังคงมีสถานะว่าง
“พี่คะ ไปหมู่บ้านศรีสงครามไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามคนขับรถอย่างเป็นมิตร
“ขึ้นรถเลยน้อง” เสียงเข้มของคนขับรถแท็กซี่เหลือบมองคนตัวเล็กเพียงแวบเดียว จากนั้นเรียกมิชรินทร์ขึ้นรถ
นึกว่าจะไปส่งรถ เติมแก๊สซะอีก เจ้าของใบหน้างามคิดอยู่ในใจเบา ๆ เพราะโดยปกติแล้ว ส่วนใหญ่เธอมักจะเจอปฏิเสธแบบนี้บ่อย ๆ
ณ หมู่บ้านศรีสงคราม บ้านของมิชรินทร์
ตึก ตึก ตึก
เท้าเล็กสาวเท้าเดินเข้ามาในบ้านหรูของตัวเอง แต่ยังไม่เทียบเท่าบ้านของตระกูลอัล กลับพบว่าของและฟอนิเจอร์ทุกอย่างได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป เกือบทั้งหมด เธอขมวดคิ้วอย่างสงสัย กวาดสายตามองหาผู้เป็นพ่อและแม่ ทว่ากลับไม่พบ จึงได้เดินขึ้นไปยังบ้านชั้นที่ 2 พร้อมกับเรียกหาผู้เป็นพ่อแม่
“แม่คะ…พ่อคะ…” เสียงหวานใสร้องเรียกเจือปนด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ริน…” เสียงอันคุ้นหู ทำให้มิชรินทร์หันขวับอย่างอัตโนมัติ
“แม่…” มิชรินทร์โผเข้ากอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง และรับรู้ได้ถึงความไม่ผิดปกติ แม่ของเธอดูมีความกังวลอยู่ไม่น้อย ร่างเล็กจึงผละออกมาจากอ้อมแขนแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ แม่มีอะไรจะบอกรินหรือเปล่า”
ท่าทีของแม่ลดากระอักกระอ่วนใจ ที่จะบอกคนตัวเล็ก เพราะกลัวผู้เป็นลูกจะคิดมาก เนื่องจากพ่อของเธอไปเซ็นสัญญาเงินกู้ให้กับเพื่อน แล้วเพื่อนของพ่อเธอ หนีหนี้ ทำให้ครอบครัวของมิชรินทร์เป็นผู้รับผิดชอบหนี้ทั้งหมด ตลอดจนต้องขายบ้าน ขายรถ ขายฟอนิเจอร์ราคาแพงทุกชิ้น ทางเดียวที่จะจบหนี้ได้พ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เพราะค่าแรงจะสูงกว่าอยู่ที่นี่
ผู้เป็นแม่เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ตัดสินใจบอกผู้เป็นลูกทุกอย่าง ปัญหาของผู้ใหญ่ เธอสามารถรับรู้ได้ เพราะมิชรินทร์เองก็โตเป็นสาวแล้ว
“พ่อกับแม่จะไปทำงานต่างประเทศจ้ะ…”
ดวงตาคู่งามเบิกโพลงด้วยความตกใจ ปกติเธอไม่เคยห่างกับแม่เลย จึงเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า
“ไปทำไมเหรอคะ”
“ริน….บ้านของเราแม่ขายไปแล้ว เพื่อนำเงินไปใช้หนี้”
“หนี้อะไรคะ หรือว่าหนี้จากลูกค้า คุณแม่คืนเงินให้ลูกค้าไปจนหมดแล้วนี่คะ แล้วหนี้อะไรอีก…”
“พ่อผิดเองลูก…” ผู้เป็นพ่อได้เดินเข้ามาเอ่ยเสริม อธิบายให้มิชรินทร์ว่าเขาได้ผิดทั้งหมด
“…..” คนตัวเล็กเงียบไปครู่หนึ่ง รอผู้เป็นพ่ออธิบาย ตอนนี้เธอพูดอะไรไม่ออก เพราะเธอกลัวการอยู่คนเดียวเป็นที่สุด พ่อกับแม่จะทิ้งเธอไปงั้นเหรอ
“พ่อเซ็นสัญญาค้ำประกันเงินกู้ให้กับเพื่อน แต่เพื่อนของพ่อหนีหนี้ไป ทำให้เจ้าหนี้มาทวงหนี้กับพ่อ พ่อเองก็จนปัญญาไม่รู้จะหาเงินมาจากไหน จึงปรึกษากับแม่ แล้วตัดสินใจขายบ้าน…พ่อขอโทษนะริน”
ใบหน้างามขมวดคิ้วแน่น เรียบเรียงสถานการณ์ที่ได้ยิน ไม่โทษพ่อของตัวเอง คนเรามีผิดพลาดกันได้ เขาว่ากันว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง….เพียงชั่วพริบตา เจ้าของใบหน้าสวยก็ได้เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ พร้อมกับเอ่ยว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ…แล้วจะไปเมื่อไหร่คะ…”
“วันนี้จ้ะ” ผู้เป็นแม่ตอบ
“วันนี้เหรอคะ…ทำไมรินถึงไม่รู้….”
“เมื่อคืนกับตอนเช้าแม่โทรไปหาหนูแล้วจ้ะ…แต่ลูกไม่รับ… ”
สิ้นคำพูดของผู้เป็นแม่ มือเล็กจึงได้ล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายขึ้นมาดู
‘จริงด้วย’ และเวลานั้น เธอไม่ได้ยิน เพราะ ยังคงอยู่ภายในห้องของอัลเฟรด
“รินไม่ได้ยินค่ะ แม่”
แม่ลดาพยักหน้าด้วยความเข้าใจ พร้อมกับเอ่ยถามผู้เป็นลูกสาวว่า “ไปทำงานที่บ้านคุณหญิงเป็นอย่างไรบ้างจ้ะ”
คนตัวเล็กชะงักนิ่ง เธอยังไม่อยากจะบอกความสัมพันธ์ของเธอกับอัลเฟรดว่าเธอและเขามีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกันแล้ว จะบอกผู้เป็นแม่ก็ต่อเมื่อ เจ้าของทายาทตระกูลดังเอ่ยปากคบกันกับเธอ
“ดีค่ะ…สงบดี คุณหญิงก็ใจดี…”
“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก”
“ค่ะ…กลับมาหารินบ่อย ๆ นะคะ”
“จ้ะ” แม่ลดาพยักหน้า แล้วโผเข้ากอดมิชรินทร์อีกครั้ง จู่ ๆ ผู้เป็นแม่ก็นึกเรื่องหนึ่งออกมาได้
“เอ่อ ริน”
“คะ?” มิชรินทร์เลิกคิ้ว
“นี่คีย์การ์ดคอนโดจ้ะ…แม่ซื้อไว้ให้ คอนโดอยู่ไม่ไกลที่ทำงานของหนูมากด้วย แม่ได้ยินมาว่าต่อจากนี้หนูต้องไป ทำงานบริษัทของตระกูลอัล แม่เลยใช้เงินส่วนหนึ่งซื้อไว้จ้ะ หนูจะได้ไปทำงานสะดวก”
“แม่ไม่เห็นต้องลำบากซื้อคอนโดเลยค่ะ รินอยู่ห้องเช่าก็ได้”
“ไม่ได้จ้ะ พ่อกับแม่ล้วนไม่อยากให้ลูกลำบาก รินไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากจ้ะ พ่อกับแม่อยากเห็นรินมีความสุข รินอยู่คนเดียวไปก่อนนะเดี๋ยวพ่อกับแม่จะกลับมาหาบ่อย ๆ”
“พ่อกับแม่ให้รินใช้ชีวิตสบายแบบนี้ รินจะเคยตัวเอานะคะ” คนตัวเล็กแย้ง
“หือ? รินก็ไม่เคยตัวนี่จ้ะ แถมยังเป็นลูกที่ดีอีกต่างหาก” แม่ลดาพูดอย่างอ่อนโยนใช้มือลูบศีรษะของมิชรินทร์เบา ๆ
“แม่ก็…ชมรินไม่หยุดปากเลยนะ…”
“ฮ่า ๆๆ ก็แม่มีลูกคนเดียวไม่ชมรินจะให้ชมใครล่ะจ้ะ…”
“ขอกอดนาน ๆ หน่อยนะคะแม่ คุณพ่อด้วยค่ะ..มาให้รินกอดหน่อย” ร่างเล็กพูดอย่างออดอ้อนราวกับเด็ก ๆ ซุกใบหน้าไว้แนบอกของผู้เป็นแม่ จากนั้นโผเข้ากอดผู้เป็นพ่อ
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก ต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว อย่าไว้ใจใครมากนัก โดยเฉพาะผู้ชาย” ผู้เป็นพ่อใช้มือลูบหัวของลูกสาวเบา ๆ โตแล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ ออดอ้อนไม่หยุด
“หือ? คุณพ่อก็เป็นผู้ชายแสดงว่าไว้ใจไม่ได้สินะคะ”
ผู้เป็นพ่อชะงักนิ่ง จากนั้นใช้มือยีหัวของมิชรินทร์ด้วยความหมั่นเขี้ยว พร้อมเอ่ยเสียงเข้มกับลูกสาวว่า
“ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ย่อมต้องรักลูก ต้องไว้ใจได้อยู่แล้ว ต่างจากผู้ชาย โดยทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่จะไว้ใจไม่ค่อยได้ หัวอ่อนอย่างลูกคงดูไม่ออกว่าใครไว้ใจได้หรือไม่ได้ พ่อจึงอยากเตือนให้ลูกระวังเอาไว้”
“รู้แล้วค่ะ….คุณพ่อ…รินอยากแกล้งเล่นเฉย ๆ ไม่ได้หยอกเล่นกับพ่อมานานแล้ว…” ปากเล็กอธิบาย ด้วยความสงสัยจึงได้เอ่ยปากถามว่า
“แล้วจะไปกี่โมงเหรอคะ”
ผู้เป็นพ่อชะงักนิ่ง เหลือบมองดูนาฬิกา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งว่า “เดี๋ยวไปแล้ว ไปถึงก่อนเวลา”
“ค่ะ เดี๋ยวรินไปส่งนะคะ”
“จ้ะ”