ชุดแต่งงานเกาะอกเข้ารูปสีขาวสะอาดประดับด้วยมุกเงางามสวยละมุน ช่างเข้ากับเรือนกายของหญิงสาววัยสะพรั่ง หญิงพนักงานที่ช่วยจัดแจงชุดเจ้าสาวของมินตราถึงกับเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
"สวยมากเลยค่ะคุณมินตรา"
"ขอบคุณค่ะ" ยามใบหน้าหวานสวยยิ้มตอบด้วยมารยาท ความเปล่งประกายยิ่งเจิดจรัส ขนาดผู้หญิงด้วยกันมองยังมีหวั่นไหว
ถึงแม้ยังไม่ได้แต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่ก็สามารถตรึงใจคนที่พบพานได้ทันที
พนักงานลอบมองว่าที่เจ้าสาวก็แอบนึกเสียดาย เพราะคนซึ่งควรมาเชยชมไม่ได้มาด้วย ดรัณภพว่าที่เจ้าบ่าวผู้ที่ใคร ๆ ก็รู้จักชื่อเสียงเขากลับไม่ได้มาลองชุด ทำอย่างกับว่าเรื่องแต่งงานนี้ช่างเป็นเรื่องที่เขาไม่ใส่ใจ มีเพียงตัวหญิงสาวมาลองชุดกับคนดูแลอีกหนึ่งคนเท่านั้น
แต่ไม่มีใครกล้าถามไถ่เหตุผลหรอก ถึงคนจะซุบซิบอยากรู้เรื่องชาวบ้านมากแค่ไหนก็ตาม ฉากหน้าของคนนอกก็ทำเพียงยิ้มหวานให้เจ้าสาวเร่งด่วนอย่างมินตราเท่านั้น
"งั้นเอาชุดนี้ไหมคะ"
"ได้ค่ะ ชุดนี้ก็ได้ค่ะ" มินตรายิ้มตอบ
เธอขอแค่ใส่ได้พอดีสำหรับวันงานก็เพียงพอ ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์เลือกความสวยงามตามชอบอะไรทั้งนั้น
อย่าว่าแต่เรื่องชุดแต่งงานเลยที่เธอไม่ทุกข์ร้อน ขนาดตัวเจ้าบ่าวไม่คิดจะมาลองชุดด้วยเธอยังเจียมตัว เมื่อเช้าคนดูแลจากบ้านอนันต์สุทธิรัตน์ถูกส่งมาหาเธอ ก่อนจะชี้แจงถึงตารางว่าต้องไปทำธุระอะไรที่ไหนบ้าง
มีเพียงแค่นั้น ไม่เห็นแม้เงาของผู้ชายอย่างดรัณภพ
แต่เธอรู้แก่ใจดี ไม่คิดแม้แต่จะถามเช่นกัน เขาเป็นใครในวงสังคมธุรกิจทุกคนล้วนรู้จัก แต่ต้องมาตกลงแต่งงานกับเธอที่ตอนนี้ไม่มีอะไรด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่คนนอกที่สงสัยใคร่รู้รวมถึงนินทาว่าไปเรื่อย แต่ตัวเขาเองก็คงไม่พอใจ
เธอคิดแทนเขาแบบนั้น...
เมื่อเรื่องชุดและสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับเจ้าสาวถูกจัดแจงเสร็จ คนดูแลของบ้านอนันต์สุทธิรัตน์ก็พาเธอกลับมาส่งที่บ้าน
"เรื่องอื่นภายในงานคนของเราจะจัดการที่เหลือเองค่ะ คุณมินตราไม่ต้องห่วง" นงค์ผู้ดูแลวัยประมาณสามสิบกลางเอ่ยบอกเสียงเรียบเรื่อยด้วยรอยยิ้ม
มินตราพยักหน้าตอบรับอย่างมีมารยาท
"ขอบคุณค่ะ"
"อีกเรื่องต้องขอแจ้งคุณมินตรา หลังพิธีแต่งคุณมินตราอาจจะต้องย้ายไปอยู่กับทางคุณดรัณภพ ส่วนทางบ้านและน้องชายคุณ คุณท่านและคุณดรัณภพจะดูแลจัดการเองค่ะ"
"เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ" มินตราพยักหน้ารับเช่นเดิม
เธอพอจะคาดเดาทุกอย่างได้อยู่แล้วเลยไม่แปลกใจนัก ก่อนที่ไม่นานนงค์จะเอ่ยลาและไปขึ้นรถซึ่งมีคนขับรถรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อรถเคลื่อนออกไปมินตราก็ทำเพียงผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
ชีวิตของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หญิงสาวไม่กล้าขอให้โลกใจดีกับเธอ แต่ขอแค่ไม่ใจร้ายกับเธอมากนักก็พอแล้ว...
วันแต่งงาน
ชายหนุ่มมองตัวเองในกระจกด้วยสายตาสีนิลคมกริบไร้ความรู้สึก เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดตา ทรงผมที่เซตไว้ยิ่งส่งเสริมความหล่อเหลาที่ดูชั้นสูงกว่าคนทั่วไป ความเย่อหยิ่งและแสนดึงดูดแฝงอยู่ในแววตารวมถึงตัวตนของเขา รูปลักษณ์ภายนอกทุกกระเบียดนิ้วไร้ที่ติ
"ถึงเวลาแล้วครับคุณภพ" อัธผู้ที่เป็นมือขวาคนสนิทพ่วงด้วยตำแหน่งเลขาในบริษัทเอ่ยบอกเจ้านาย
"อืม" ดรัณภพเอ่ยตอบ
เขาขยับเสื้อเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะเดินออกไปด้านนอก แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อบิดาเข้ามาหาเสียก่อน
"เจ้าภพ"
"..."
ชายหนุ่มมองคนสูงวัยเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางอัธเลขาหนุ่ม อัธพยักหน้าให้อย่างเข้าใจโดยไม่ต้องใช้คำพูดและออกจากห้องไปก่อน ปล่อยให้สองพ่อลูกคุยเรื่องส่วนตัว
"ว่าไงครับ"
"ฉันหวังว่าแกจะดูแลหนูมินตราให้ดี" คนสูงวัยเอ่ยบอก ทว่าคนที่ได้ฟังกลับเหยียดยิ้มมุมปาก
ดรัณภพปรายตามองบิดาเพียงนิด เอ่ยคำพูดเสียงราบเรียบขณะที่แววตายังคงเฉยชา
"พ่อไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลให้ดี...ในแบบของผม"
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกได้ถึงความไม่แยแสในน้ำเสียงของลูกชาย
"อย่าลืมสิ่งที่ผมควรได้แล้วกัน พ่อรู้ดีว่าผมเป็นคนรักษาคำพูด" ดรัณภพกล่าวไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปเหลือเพียงเสียงถอนหายใจของบิดาที่พ่นออกมาอย่างเหนื่อยใจ
"เจ้าภพนะเจ้าภพ..."
แขกเหรื่อใกล้ชิดภายในงานทยอยกันมา งานแต่งของดรัณภพและมินตราจัดขึ้นเงียบ ๆ แต่ก็ไม่ได้เงียบเสียทีเดียว แม้จะเชิญแต่คนสนิทที่สำคัญจริง ๆ แต่วงในก็กระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว
คนภายนอกในวงสังคมล้วนจับตามองทายาทคนสำคัญของอนันต์สุทธิรัตน์ที่แสนเยือกเย็นเด็ดขาด อยากรู้อยากเห็นว่าใครคือผู้ได้ครอบครองหัวใจและทำให้เขาสละโสดได้
แถมเป็นการสละโสดที่แสนรวดเร็วกะทันหัน สาว ๆ ต่างอกหักไม่ได้ตั้งตัวกันเป็นแถว
"คุณมินตราคะ ได้เวลาแล้วค่ะ"
"ค่ะ" มินตราตอบรับหญิงผู้ดูแลอย่างถ่อมตน แม้เธอจะเก็บสีหน้าพอได้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในใจรู้สึกประหม่าไม่น้อย
พิธีการของวันนี้รวบรัดมากกว่างานแต่งของคนมีอันจะกินอย่างที่ควรจะเป็น โดยจะข้ามขั้นตอนของขบวนขันหมาก ซึ่งเจ้าบ่าวจะมารับเจ้าสาวเลยและเริ่มพิธีต่อไปทันที
มินตราเดินตามนงค์ผู้ดูแลของบ้านอนันต์สุทธิรัตน์ไปเรื่อย ๆ เพื่อไปยังจุดที่ต้องรอเจ้าบ่าวมารับ ทว่าระหว่างร่างบอบบางกำลังก้าวเดินไป กลับมีช่างภาพของงานคนหนึ่งถอยมาชนเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ
พลั่ก!
"อ๊ะ!?" ร่างบางในชุดเจ้าสาวซึ่งสวมใส่รองเท้าส้นสูงเซไปอีกทาง เธอกำลังจะล้มลงโดยไม่ได้ตั้งตัว
พรึ่บ!
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นกลับมีอ้อมแขนกำยำคล้องรับเอวบางของเธอไว้ได้ทัน สัมผัสได้ถึงกลิ่นโคโลญจน์อ่อนจางราคาแพงของบุรุษ ให้ความรู้สึกที่เย้ายวนและดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างเธอไม่น้อย
ดวงตาหวานสีน้ำตาลธรรมชาติเหลือบมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขา เมื่อสบกับนัยน์ตาสีนิลแสนลุ่มลึกคู่นั้น มินตราก็แทบจะหยุดหายใจ
แสนดึงดูด น่ากลัว แต่ก็น่าค้นหา
เธอรู้สึกแบบนั้น...
"คุณภพ" นงค์ผู้ดูแลหันมาเห็นเจ้านายอย่างดรัณภพกำลังช่วยรับตัวว่าที่เจ้าสาวที่กำลังเสียหลักล้มก็แอบตกใจไม่น้อย
ดรัณภพค่อย ๆ ปล่อยมือจากร่างของหญิงสาวเมื่อเธอยืนได้มั่นคงแล้ว
มินตรากะพริบตาปริบ ๆ ยังคงมองเสี้ยวหน้าของเขาอีกเล็กน้อย ทว่าเมื่อเขาหันกลับมาสบตาเธอทำให้หญิงสาวได้สติว่ามองเขานานเกินไป จึงได้รีบหลุบตาลงมองไปที่พื้นแทน ก่อนจะกล่าวเสียงตะกุกตะกัก
"ขอบคุณค่ะที่ช่วย" ถ้าไม่ได้เขารั้งตัวเธอไว้เมื่อกี้เห็นทีสภาพชุดเจ้าสาวคงดูไม่ได้
ชายหนุ่มเดินมาใกล้เธอ เขากระตุกยิ้มมุมปาก หากแต่แววตาคู่คมกลับยากคาดเดา ก่อนจะโน้มตัวลงไปใกล้
"ฉันจะปล่อยให้เจ้าสาวในวันนี้เสียหน้าได้ยังไงล่ะ" เสียงของเขาเยือกเย็นเรียบเรื่อยแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนฟังขนอ่อนลุกชัน
"เธอก็คิดแบบนั้นใช่ไหม"
"..."
มินตรากลืนน้ำลายลงคอที่แสนแห้งผาก คำพูดของเธอจุกอยู่ในอกเหมือนคนเป็นใบ้ พอเจอตัวจริงของดรัณภพถึงได้รู้ว่าเขาน่าหวั่นเกรงแค่ไหน เพียงแค่น้ำเสียงก็ทำให้คนฟังรับรู้ถึงอำนาจได้ทันที
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
"หึ" ดรัณภพหัวเราะลึกลงลำคอเมื่อคนตัวเล็กไม่รู้จะตอบอะไรเขา
ชายหนุ่มผละตัวออกมา ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ทว่าสายตากลับเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่อีกฝ่ายคาดเดาไม่ได้ เขาหันใบหน้ากลับมามองไปยังบรรยากาศภายในงานก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่ได้มองหน้าของเธอ
"มาทำให้มันจบ ๆ กันเถอะ...มินตรา"
"..."