ศรัทธา 3

2308 คำ
มีความเชื่อเรื่องขันผีฟ้า ที่ศึกษามาเพียงแต่พอเข้าใจ... หลังจอดรถจักรยานหน้าบ้านไม้ มีใต้ถุงหลังไม่ใหญ่เรียบร้อย โสภาก็เดินขึ้นไปบนบ้าน ส่วนลันก็จูงรถจักรยานไปจอดใต้ถุน เมื่อจอดรถเสร็จใบหน้าสวยปนน่ารักน่าเอ็นดู ก็หันไปยังถนน เห็นรถกระบะสีดำในระยะไกล ๆ จึงพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ใครกันทำไมหล่อจัง” เมื่อรถกระบะสีดำแล่นจนพ้นสายตา เธอจึงเลือกไม่สนใจเดินขึ้นไปบนบ้านทันที ทางโสภาเมื่อผลัดผ้าเรียบร้อย เธอก็เดินไปยังระเบียงหน้าบ้าน ที่มีเครื่องครัวขณะเล็กวางอยู่ จากนั้นก็รีบจัดการก่อไฟเตาถ่านเพื่อหุงข้าว ขณะที่มือหยาบกร้านหยิบไม้ขีดมาจุดไฟ ริมฝีปากก็เอ่ยบอกลูกสาวที่อยู่ข้างในบ้าน “ลันผลัดผ้าเสร็จแล้ว ไปเก็บผักบุ้งให้แม่หน่อยนะ” “ได้จ้ะแม่” สิ้นเสียงใสมือเล็กก็ถอดผ้าซิ่นไหมออก แล้วสวมใส่ผ้าถุงธรรมดา เพราะที่บ้านมีเพียงผ้าถุงและกระโปรงส่วนใหญ่ เนื่องจากสลันชอบใส่ตามแม่ของเธอ อีกอย่างมันสะดวกสบายมากหากอยู่บ้าน จะทำอะไรก็เพียงแค่ ‘ถกผ้าถุงขึ้น’ จึงทำให้เธอเคยชินที่จะใส่ หลังจากเรือนร่างอรชรน่าหลงใหล ขาวเนียนผุดผ่องเปลี่ยนผ้าเรียบร้อย ก็เดินออกจากห้องแต่งตัว ที่ใช้ตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กกั้นเขตแดนระหว่างที่นอนเอาไว้ เมื่อแขวนผ้าถุงยังปลายเท้าเสร็จสรรพ ขาเรียวขาวเนียนก็เดินออกจากตัวบ้านไม้ ที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่ ด้านในมีเพียงตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ และที่นอนหมอนมุ้งเล็ก ๆ เท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเลย แม้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เนื่องจากที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ หากร้อนก็แค่เปิดหน้าต่าง ให้ลมพัดผ่านเข้ามา ซึ่งโชคดีที่บ้านตั้งอยู่กลางนา อีกทั้งยังยกสูงจึงทำให้อากาศถ่ายเท ไม่ร้อนอบอ้าว ส่วนกลางคืนก็ใช้ตะเกียงเป็นแสงสว่าง เพียงเท่านี้ก็สามารถอยู่ได้แล้ว ขณะเดินออกจากห้องนอน มือเล็กก็จับหนังยางเก้าผมไปด้วย พอเดินลงมาข้างล่างแล้ว ลันก็คว้าตะกร้าสานที่แขวนอยู่เสาใต้ถุงบ้าน เดินไปยังสวนผักหลังบ้านทันที “เสียดายจังวันนี้ไม่ได้เก็บไปขายที่ตลาด ไม่งั้นป้านิดก็มีผักสวย ๆ ขายให้ชาวบ้าน” ตาคู่สวยมองผักที่เธอปลูกขึ้นงอกงามด้วยแววตานึกเสียดาย เพราะวันนี้ต้องไปทำธุระกับแม่ของเธอตั้งแต่เช้ามืด จึงไม่ได้เก็บผักไปขายให้แม่ค้าร้านผักเหมือนเช่นทุกวัน หลังจากนั่งมองผักสวนครัวนานาชนิดสักพัก สลันก็รีบไปตัดผักบุ้งจีนที่เธอกับแม่ปลุกไว้ขายแบ่งไปผัดกิน ขณะตาคู่สวยมองผักบุ้งลำใหญ่ด้วยแววตาชื่นชม และภูมิใจในผลผลิตของเธอที่ขึ้นงอกงามโตวันโตคืน แต่ทว่าก็เพียงได้เชยชมเท่านั้น เพราะเธอเลือกตัดต้นเหี่ยวแห้งใกล้ตายไปผัดกิน ส่วนต้นสวย ๆ เลือกเอาไว้ขาย ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าเอาไปขายคงได้เงินหลายบาท ดีกว่าเธอเก็บมาผัดกินฟรี ๆ เพราะสุดท้ายต้นเหี่ยวแห้ง ก็กินเพื่อประทังชีวิตได้เหมือนกัน หลังจากเก็บผักบุ้งได้หนึ่งกำมือ ร่างอรชรก็ถือตะกร้าเดินขึ้นบ้าน จากนั้นก็เอาผักบุ้งให้แม่ของเธอ แล้วเดินไปเปิดน้ำกินในโอ่งดู พอเห็นว่าน้ำดื่มใกล้หมดแล้ว ใบหน้าสวยสวยราวกับปั้นแต่ง จึงหันไปเอ่ยบอกคนเป็นแม่ “แม่เดี๋ยวลันไปตักน้ำใส่โอ่งก่อนนะ” “ได้ เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวเอง” “จ้ะ” สิ้นเสียงหวานกังวาลใส สลันก็เดินไปหยิบถังน้ำที่อยู่ข้างโสภา เดินลงไปข้างล่าง แล้วตักน้ำฝนที่รองใส่โอ่งใหญ่ไว้กิน จากนั้นก็หิ้วถังน้ำเดินขึ้นบันไดไม้ จัดการเทใส่โอ่ง คนตัวเล็กทำอยู่เช่นนี้กระทั้งน้ำเต็ม ก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดพรายยังหน้าผากมน พร้อมกับได้ยินเสียงคนเป็นแม่เอ่ยบอก “ลันมากินข้าวลูก” “จ้ะแม่” สลันเดินเอาถังน้ำไปวางไว้ที่เดิม แล้วนั่งลงบนเสื่อตรงข้ามโสภา จากนั้นสองแม่ลูกก็นั่งกินข้าวพร้อมกับพูดคุยกัน “พรุ่งนี้หนูจะเอาผักไปขายที่ตลาดนะ แม่จะฝากซื้ออะไรไหม” “พรุ่งนี้เหรอ?” “ใช่จ้ะ” โสภาละสายตาจากสลัน ไปยังปฏิทินที่แขวนยังฝาบ้าน เมื่อเห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันพระ จึงเอ่ยบอกลูกสาว “พรุ่งนี้ซื้ออาหารคาวหวานมาให้แม่หน่อยนะ แม่จะเลี้ยงขันผีฟ้า” “อ๋อ ได้จ้ะ” ได้ยินเช่นนั้นสลันก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหวานใสเหมือนเคย เมื่อรับรู้พรุ่งนี้แม่เธอจะไหว้ผู้มีพระคุณ ที่ทำให้แม่เธอหายจากอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุ ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า ในตอนที่อยู่บ้านของยายสาว โสภาไม่สบายมีอาการปวดท้อง รักษาโรงพยาบาลที่ไหนก็ไม่หาย จนหมดหนทางรักษา ความรู้สึกไม่ต่างจากนอนรอความตาย ทว่าก็มีป้าคนหนึ่งที่มาเยี่ยมญาติเตียงข้าง ๆ โสภา แนะนำให้เธอไปสำนักไสยแห่งหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อเลื่องลือเรื่องรักษาคนป่วย แม้โสภาจะไม่ได้มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย แต่เพราะเธอยังไม่อยากจากโลกนี้ไป เนื่องจากเป็นห่วงลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอมาก จึงเดินทางไปสำนักไสยตามคำบอกกล่าว ทำให้เรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น เมื่อจู่ ๆ อาการปวดท้องคล้ายมีของแหลมทิ่มแทง ได้หายไปปลิดทิ้งอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นโสภาก็เดินทางกลับบ้าน ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านปกติ ทว่าอยู่บ้านได้เพียงไม่กี่วัน อาการปวดท้องก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม โสภาจึงเดินทางไปสำนักไสยอีกครั้ง หลังจากทางสำนักทำพิธีการรักษาต่าง ๆ จนอาการหายเป็นปกติอีกครั้ง เธอก็ได้ถามไถ่สำนักที่รักษา ถึงอาการที่เกิดขึ้นว่าจะกลับมาเป็นอีกไหม ซึ่งทางสำนักก็บอกว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก หากเธอรับขันผีฟ้าไปบูชา ซึ่งพอได้ยินข้อปฏิบัติที่ว่าต้องเลี้ยงขันทุกวันพระ ถือศีลห้า เคารพต่อบิดามารดา และถ้ามีทายาทต้องสืบต่อไป อีกทั้งถ้าหากมีผู้ไข้ผู้ป่วยเธอจะต้องไปรำเพื่อรักษา ซึ่งก็ดูเหมือนไม่ยากและคิดว่าตัวเธอทำได้แน่นอน จึงตกปากรับคำรับขันมาบูชาเพื่อให้อาการเจ็บป่วยหายไป หลังจากรับขันผีฟ้ามาบูชา โสภาก็ปฏิบัติตามข้อห้ามอย่างเคร่งครัด ส่วนการรำรักษาก็ไม่ทำให้เธอเป็นกังวล เนื่องจากยุคสมัยนี้ ผู้คนหันไปรักษาทางการแพทย์มากกว่า แพทย์ทางเลือกแล้ว... เมื่อกินข้าวเสร็จสลันก็เก็บจานไปล้างคว่ำไว้ ส่วนแม่เธอก็เข้าไปทำความสะอาดตัวบ้าน หลังจากคว่ำจานใบสุดท้ายเรียบร้อย คนตัวเล็กก็เดินเข้าไปในบ้านเพื่อเอาเสื้อผ้าลงไปซัก “เดี๋ยวหนูเอาผ้าลงไปซักก่อนนะแม่” สิ้นเสียงใส มือเล็กก็หยิบตะกร้าผ้าของเธอและแม่เดินลงไปข้างล่าง ขณะกำลังนั่งตีฟองผงซักฟอกในกะละมังเพื่อซักผ้า ก็เห็นรถของผู้ใหญ่ลพขับเข้ามาภายในบ้าน ลันจึงหยุดชะงักแล้วหันมอง กระทั่งเจ้าของรถกระบะลงมาเอ่ยบอกเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ป้ากับลุงเอาขี้วัวมาให้” “ขอบคุณมากนะคะ” ลันจึงรีบยกมือไหว้วันดีและผู้ใหญ่ลพ ด้วยความซาบซึ้งใจที่ผู้ใหญ่ทั้งสองใจดีกับครอบครัวของเธอมาก จนไม่รู้เลยว่าชาตินี้เธอจะตอบแทนบุญคุณทั้งสองหมดไหม ส่วนวันดีเห็นเช่นนั้นก็นึกเอ็นดูมาก ต่างจากคราแรกที่สามีเธอบอกว่าจะช่วยสลันและโสภา เธอก็จะไม่ยอม แต่พอเห็นหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูและน่าสงสารของสลัน ประจวบกับเธอไม่มีลูกจึงเอ็นดูไม่น้อย ก็เลยยินยอมให้สามีช่วยสองแม่ลูก “ลุงยกไปไว้ใต้ถุนบ้านเลยนะ” “เดี๋ยวหนูช่วยค่ะ” “ลันตัวเล็กนิดเดียวเอง ให้ลุงเขาแบกนั่นแหละ” ขณะร่างอรชรลุกขึ้น หยิบขันน้ำในโอ่งเพื่อล้างมือ ทว่าโดนห้ามเสียก่อนจึงหยุดชะงัก ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “ขอบคุณค่ะ” แม้จะยังอยากรบเร้าต่อเพื่อให้ได้ช่วย แต่ก็กลัวว่าจะไปเป็นภาระและเกะกะเปล่า ๆ จึงเลือกนั่งมองผู้ใหญ่ลพ แบกกระสอบปุ๋ยขี้วัวไปไว้ใต้ถุนบ้าน จากนั้นก็นั่งซักผ้าที่อยู่ในกะละมังต่อ... ช่วงเย็นของวันหลังจากทำอะไรเสร็จ เมื่อเห็นว่ายังไม่มืด ลันก็ถือผ้าถุงลงไปข้างล่าง แล้วเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ข้างหลังบ้าน ล้อมด้วยสังกะสีเก่า ๆ มีรูเต็มรอบข้าง เมื่อเข้ามาด้านใน ตาคู่สวยก็กวาดมองรอบตัว ด้วยความหวาดระแวง เพราะกลัวพวกถ้ำมองจะมาแอบดู แต่ถือว่าโชคดีเพราะยังไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ อาจเป็นเพราะบ้านเธอห่างไกลผู้คน อีกทั้งชาวบ้านไม่อยากเข้าใกล้ เนื่องจากรังเกียจเธอกับแม่ ที่ทวดของเธอเป็นปอบ ซึ่งเหตุผลนี้มันก็มีผลดีต่อเธอกับแม่มาก เพราะมันทำให้ปลอดภัยจากคนที่คิดไม่ดีได้ หลังจากอาบน้ำเสร็จ มือเล็กก็คว้าผ้าถุงที่แขวนอยู่ราวเชือกมานุ่งกระโจมอก จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกไปข้างนอก แล้วรีบเดินตรงไปยังบันไดบ้าน เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ก็นั่งกินข้าวกับแม่ของเธอที่หน้าระเบียงบ้าน เมื่อกินข้าวเสร็จลันก็เก็บจานไปล้าง นั่งแปรงฟันข้างโอ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้าน จัดการล็อคประตูใส่กลอนให้แน่นหนา เพราะไว้ใจใครไม่ได้ แล้วมุดเข้าไปในมุ้งนั่งพับเพียบบนที่นอนข้างแม่ จากนั้นก็นั่งสวดมนต์ไหว้พระ ภายใต้แสงสีส้มจากตะเกียง และแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ที่ใช้ท่อนไม้ค้ำเอาไว้ เมื่อมือเล็กกราบลงยังหมอนครบสามครั้ง ใบหน้าสวยก็เงยขึ้น เอ่ยถามคนเป็นแม่ที่นอนอยู่ “หนูดับตะเกียงเลยนะแม่” “ดับเลย” ได้ยินเช่นนั้นริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อธรรมชาติ ก็เป่าลมยังเปลวเทียน พอความมืดสลัวปกคลุมห้องสี่เหลี่ยม มือเล็กก็จับผ้าห่มผืนบางคลุมขาขาวเนียนที่อยู่ภายใต้ผ้าถุง ก่อนจะทิ้งศีรษะลงยังหมอน ขยับนอนตะแคงเพื่อมองท้องฟ้าสว่างใส ไม่นานตาคู่สวยก็ค่อย ๆ หลับลง... อีกฟากฝั่งหนึ่ง ขณะกัปตันกำลังนั่งลงอักขระบนผ้ายันต์ เพื่อเอาไว้แจกจ่ายชาวบ้าน ก็ได้ยินเสียง ‘วัณณ์ฎา’ เพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์พ่อของตนด้วยเอ่ยถาม “พ่อกับแม่มึงย้ายกลับไปอยู่บ้านย่าถาวรเลยเหรอ?” “ไม่” “เดี๋ยวก็มา?” “กูไม่รู้ อยากรู้มึงก็โทรไปถามพ่อกูเอง” สิ้นเสียงทุ้มมือหนาก็วางปากกา เมื่อลงอักขระบนผ้าดิบเสร็จ ก่อนจะเบี่ยงสายตามองเพื่อน ที่นั่งลงอักขระช่วยครู่หนึ่ง จากนั้นกัปตันก็พับผ้ายันต์วางซ้อนทับกับผืนอื่น ที่ลงอักขระเสร็จ เพื่อนำไปลงคาถาอาคมให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อย ร่างสูงก็ดันตัวลุกขึ้น หยิบซองบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ เดินไปหยุดข้างริมหน้าต่างไม้แล้วจัดการจุดสูบ “พรุ่งนี้มึงมีงานที่ไหนไหม?” “ไม่” “กูก็ไม่มี งั้นคืนนี้กูนอนที่บ้านมึงนะ ขี้เกียจกลับบ้าน” แม้หมู่บ้านจะอยู่ข้าง ๆ กัน แต่เพราะไม่มีญาติมิตรที่ไหน มีเพียงกัปตันคนเดียวที่เป็นเพื่อนสนิท และเป็นเสมือนคนในครอบครัว วัณณ์ฎาจึงเลือกไม่กลับบ้าน เพราะอย่างน้อยคืนนี้ก็ได้คุยกับคน ไม่ใช่ผีสางนางไม้เหมือนเช่นทุกคืน “อือ” ร่างสูงเอ่ยตอบ ขณะริมฝีปากหนาพ่นควันสีขาวไม่ว่างเว้น ดวงตามองบรรยากาศนอกชายคาเรือน แล้วถามเพื่อนสนิททั้งที่ยังไม่ละดวงตาจากเบื้องหน้า “หมู่บ้านมึงมีคนเคยเป็นปอบด้วยเหรอ?” “หมู่บ้านกูเหรอ” “เออ” วัณณ์ฎาคิดครู่หนึ่งกระทั่งนึกออกว่ากัปตันถามถึงใคร เนื่องจากเหตุการณ์วันนั้นที่ชาวบ้านทับช้าง ขับไล่ลูกหลานยายสาวออกจากหมู่บ้าน ซึ่งตัวเขาก็ทราบดีว่าไม่มีอะไร แต่เพราะความสบายใจของชาวบ้าน จึงไม่อาจห้ามได้ อีกอย่างตัววัณณ์ฎาเองก็ไม่รู้เรื่องราวในอดีต ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น... “เคยมี แต่มันในอดีต เห็นชาวบ้านบอกว่า ปอบโดนจับลงหม้อฝั่งดินไปนานแล้ว” “…” “ทำไมจู่ ๆ มึงถึงถามกูเรื่องนี้?” กัปตันเลือกไม่ตอบ ก่อนจะปิดหน้าต่าง แล้วเดินตรงไปยังประตูห้องรับรองวัณณ์เอ่ยถาม “มึงจะไปไหน?” “นอน” “อะไรวะ” สิ้นเสียงทุ้มร่างสูงซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของบ้าน ก็ก้าวเดินออกจากห้องรับรอง มุ่งตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ปีกซ้ายของบ้าน ที่ถูกต่อเติมเพิ่มขึ้นอีกสองห้องทันที...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม