“มันโอเคไหมแก” คนตัวเล็กจับกระโปรงยกขึ้นหมุนไปมา
ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ที่สตูดิโอชุดแต่งงาน ใครจะคิดว่าฤกษ์ดีที่ว่าคืออีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็เหลือระยะเวลาอีกเพียงสามสัปดาห์ ปันหยาทำหน้าประหม่าเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยได้สวมชุดแบบนี้บ่อยนัก ปกติตนเป็นคนลุย ๆ ทะมัดทะแมง ถ้าไม่จำเป็นแทบจะไม่สวมกระโปรงด้วยซ้ำ
ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ ๆ จะได้สวมชุดแต่งงาน แถมยังเป็นชุดระดับพรีเมียมที่สั่งตัดอย่างพอดีตัวเป๊ะ ด้วยเงินก้อนโตจากคุณนายลินดา
“สวยว่ะหยา” วิกเตอร์เดินวนรอบเพื่อนสนิทที่สวมชุดเจ้าสาว มองสำรวจรายละเอียดชุดที่ออกแบบมาอย่างประณีต แม้จะยังมีบางจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็รู้เลยว่าชุดนี้ต้องสวยงามและโดดเด่นที่สุดในงานอย่างแน่นอน
“ทำไม แกก็อยากใส่เหรอยะ” เพราะตอนนี้อยู่กันสองคนในห้องโถงกว้าง ปันหยาเลยเย้าหยอกเพื่อนสนิทอย่างไม่เกรงใจ ถึงจะมีความรู้สึกเขินไม่น้อยที่กำลังอยู่ในชุดบ่าวสาวกับวิกเตอร์ก็ตาม
“ฉันแค่ชอบผู้ชายเนอะ ไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง” วิกเตอร์สะบัดหน้าเชิดใส่เพื่อนสนิท ที่จริงถ้าไม่อยู่กับปันหยา เขาก็ไม่ได้มีบุคลิกแบบนี้ ทำให้คนภายนอกที่มองมาไม่สามารถคาดเดาว่าแท้จริงแล้วตนจะมีรสนิยมในการชื่นชอบผู้ชาย ไม่มีใครคาดเดาก็ใช่ว่าจะไม่มีคนสงสัย สมัยเรียนก็มีข่าวลือออกมาไม่น้อย แต่พอชายหนุ่มไม่ได้ออกมาโต้แย้งอะไรทุกอย่างก็เงียบไปเอง
“แต่ชุดนี้แกก็ดูดีนะ” ชายหนุ่มในชุดสูทดำ ที่แม้จะไม่ต่างจากชุดที่ไปทำงาน แต่ถ้ามองดี ๆ ก็เห็นรายละเอียดชุดที่เข้าคู่กันกับชุดเจ้าสาวที่ตนสวมอยู่ อีกทั้งสีผมประกายน้ำตาลนั่นก็เพิ่มให้คนตรงหน้ามีเสน่ห์ไม่น้อย ทำเอาปันหยาใจเต้นผิดจังหวะเล็ก ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต ก่อนจะสะบัดหน้าทิ้งความฟุ้งซ่านออกไป
“แน่นอนสิจ๊ะ ดูหน้าด้วย ลูกรักพระเจ้าไม่เกินจริง” วิกเตอร์ใช้หลังมือลูบไล้กรอบหน้าของตนอย่างภาคภูมิใจ ด้วยความเป็นลูกเสี้ยวจากเอริคที่เป็นลูกครึ่ง ทำให้ตนนั้นมีร่างที่สูงใหญ่กำยำ บวกกับใบหน้าอันโดดเด่นจากการผสมกันอย่างลงตัวระหว่างพ่อและแม่ ทำให้พื้นฐานเรียกได้ว่าดูดีเลยทีเดียว
“ลูกรักคลินิกมากกว่ามั้ง” แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่ปันหยารู้ดีเลยว่าเพื่อนสนิทนั้นดูแลตัวเองอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะด้วยการออกกำลังกายหรือการบำรุงผิวพรรณ ไหนจะยังมีการเข้าสปาบ้าง คลินิกบ้าง เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนอื่นยังมองไม่ออก ว่าเจ้าตัวนั้นมีความรักสวยรักงามเกินกว่าผู้ชายทั่วไป
“ชิ ไหนลองขยับมายืนคู่กันหน่อย” วิกเตอร์เดินนำไปยังหน้ากระจก ปันหยาจึงยกกระโปรงเดินตามมาคล้องแขนเจ้าบ่าว แม้จะเป็นการแต่งหน้าและทำผมแบบลวก ๆ แต่ภาพที่สะท้อนให้เห็นก็ทำเอาทั้งสองรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก
“ถ่ายรูปกัน จะได้ส่งรายงานแม่แก” วิกเตอร์พยักหน้าเห็นด้วยกับอีกฝ่าย เขาจึงเดินไปหยิบมือถือ แล้วกลับมาที่เดิมอีกครั้ง
ร่างสูงวาดวงแขนโอบเจ้าสาวเข้ามาใกล้ มืออีกข้างก็ถ่ายภาพสะท้อนในกระจก ก่อนจะขมวดคิ้วเพราะรู้สึกว่ายังไม่ค่อยสมจริง
“ขยับมาใกล้ ๆ หน่อยดิ” คนตัวโตจัดท่าปันหยาให้มาอยู่ข้างหน้า มือก็โอบรอบเอวราวกับสวมกอดจากด้านหลัง
“อีกนิดก็สิงกันแล้วปะ” ปันหยาบ่นออกมาเสียงดังกลบความรู้สึกแปลกในอก แม้พวกเธอจะสนิทกันมาก แต่ก็ไม่เคยอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ยิ่งกอดกันยิ่งแล้วใหญ่
“เออน่า มา ๆ เอาแก้มแนบกัน” วิกเตอร์เปลี่ยนมาถ่ายกล้องหน้าด้วยมุมที่ดูสนิทกันกว่าเดิม ใบหน้าทั้งสองชิดกันจนไร้ช่องว่าง ระบายยิ้มกว้างอย่างที่เคยทำ แม้จะรู้สึกประหม่าเพราะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนก็ตาม
“โหย รูปนี้น่ารักเวอร์ หน้าแดงมาก อย่าบอกนะว่าแกเขินอะ” ชายหนุ่มเช็กภาพแล้วเอ่ยแซวออกมา เมื่อขยายดูใบหน้าเพื่อนสนิทชัด ๆ จนเห็นถึงสีระเรื่อที่พวงแก้มเนียน
“เหมาะสมกันมากเลยค่ะ” ไม่ทันที่ปันหยาจะโต้กลับไป พนักงานสาวก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำดื่มเสียก่อน คำชมที่แสนจริงใจทำให้ทั้งสองคนเสมองไปคนละทาง เพราะรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ปันหยาลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ได้พูดอะไรแปลก ๆ ในตอนที่มีคนอื่นเดินเข้ามา ไม่อย่างนั้นความลับคงแตกอย่างแน่นอน
.............
“เมื่อกี้แกเขินเหรอ” เมื่อทำธุระที่ร้านชุดแต่งงานเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็นั่งรถกลับไปที่บ้านของปันหยา วิกเตอร์เอ่ยแซวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“กลั้นขำย่ะ แล้ววันนี้แกก็จะนอนบ้านฉันอีกแล้วเหรอ” ปันหยาโต้ทันที แล้วถามกลับอย่างอ่อนใจ เป็นวันที่สามแล้วที่อีกคนย้ายตัวเองมาอยู่ด้วย
“ก็เออสิเพื่อน ฉันบอกแม่ไปว่าต่อไปจะมาอยู่บ้านแกเป็นหลัก เพราะตรงนี้ใกล้บริษัทแล้วก็ได้อยู่กับแฟน”
“............”
เพราะไม่มีเสียงตอบกลับมา วิกเตอร์เลยหันไปหาคนข้าง ๆ เห็นว่าปันหยามองไปนอกหน้าต่าง เขาเลยเลือกที่เงียบและไม่พูดอะไร ได้แต่ยื่นมือไปลดแอร์ให้เบาลงแทน
‘สงสัยจะหนาว’ ชายหนุ่มคิดในใจ เพราะเมื่อครู่หันไปเห็นใบหูของเพื่อนสนิทขึ้นสีระเรื่อ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กมาโยนคลุมตัวให้อีกฝ่าย
ปันหยาเม้มปากแน่น แล้วกระชับผ้าให้คลุมตัวเองอย่างที่เคย หากพูดเรื่องการดูแลวิกเตอร์ก็ไม่เป็นรองใคร เพราะที่ผ่านมาชายหนุ่มก็ทำแบบนี้ให้เป็นประจำ ทว่าพอมีประโยคที่เรียกว่าแฟนมันก็รู้สึกเขินขึ้นมาจริง ๆ นั่นแหละ อีกทั้งเพิ่งออกมาจากบทบาทเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ไม่นาน ก็เลยยิ่งทำให้ปั่นป่วนใจไม่น้อย
“หยา ตื่น”
“หยา ปันหยา!” ชายหนุ่มเขย่า พร้อมยื่นหน้าไปเรียกเพื่อนใกล้ ๆ
“อื้อ....” คนตัวเล็กงัวเงีย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทห่างออกไปแค่ฝ่ามือเดียว ทำเอาสะดุ้งจนตื่นเต็มตา
“เรียกตั้งนานกว่าจะตื่น รถติดนิดเดียวแค่นี้ก็หลับ ไปอดนอนมาจากไหนเนี่ย” เมื่อเห็นว่าเพื่อนตื่น วิกเตอร์ก็เปิดประตูลงจากรถ เพราะตอนนี้มาถึงหน้าบ้านของปันหยาเรียบร้อยแล้ว
“แกก็เห็นว่าช่วงนี้ฉันยังมีงานที่ต้องเคลียร์ ไหนจะเรื่องต่อเติมสตูข้างหลังอีก” ปันหยาบ่นอุบ เพราะช่วงนี้ชีวิตยุ่งเหยิงกว่าทุกที เล่นเอาแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แต่ด้วยพลังของเงินค่าจ้าง เพียงแค่สัปดาห์เดียวส่วนที่ต้องการทำเพิ่มก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นไม่น้อย
“วันนี้ฉันนอนห้องเดียวกะแกนะ”
“ฮะ!?”
“มันก็ต้องทำให้ชินปะวะ แม่จะโผล่มาวันไหนก็ไม่รู้ ถ้ารู้ว่านอนแยกกันก็ดูไม่เนียนอีก”
“แต่มันจะเหมือนอยู่ก่อนแต่งเกินไปไหม”
“สมัยนี้ยังจะมาหวงตัวอะไรอีก เมื่อก่อนเราไปเที่ยวก็นอนห้องเดียวกันปะ”
“ไปเที่ยวมันก็คือที่อื่น แต่นี่แกจะย้ายมานอนห้องเดียวกันฉัน เตียงฉัน มันไม่ได้ปะวะ”
“ห้าแสน” ชายหนุ่มเสียงเข้มอย่างผู้ที่เหนือกว่า
“คุณสามีเลือกได้เลยว่าจะนอนฝั่งไหน เดี๋ยวภรรยาคนนี้จะหยิบหมอนเพื่อสุขภาพมาให้เพคะ” ไม่ว่าเปล่า ปันหยายังยกกระโปรงที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมย่อตัวถอนสายบัวให้อีกด้วย
ไม่ได้นะ สตูดิโอฉันยังไม่เสร็จ แกจะมาเอาเงินคืนไม่ได้นะ!