ตอนที่  5 แรกพบในรอบเจ็ดปี

1508 คำ
“เจ้าว่าอะไรนะ!!” “ท่านตาท่านก็รู้ว่าข้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด ข้าเองก็อยากจะพบพี่ใหญ่กับ…ว่าที่คู่หมั้นของข้าเสียหน่อย ในเมื่อจะต้องเป็นว่าที่พระชายาแล้วเหตุใดจะไปไม่ได้” “เจ้าคิดว่าที่นั่นเป็นอะไร สนามเด็กเล่นหรืออย่างไรไม่เอาน่าเหยาเหยา อย่าให้ตาต้องทำผิดต่อแม่ของเจ้า เพียงแค่เจ้าเดินทางมาที่นี่นางก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว” “ท่านตาเจ้าคะ หากท่านไม่ยอมให้ข้าไปถึงอย่างไรข้าก็ต้องแอบไปอยู่ดี” “นี่เจ้า!!” “ท่านก็รู้นิสัยข้าดีนี่เจ้าคะ เลือดของข้ากึ่งหนึ่งมาจากสกุลหมอเทวดา อีกกึ่งหนึ่งเป็นขุนพลกอบกู้แผ่นดิน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายหรอกเจ้าค่ะ” “เฮ้อ…แต่ว่าเจ้าจะไปเพิ่มภาระให้พี่ชายเจ้าหรือไม่ เขาจะเป็นห่วงหากรู้ว่า…” “ท่านก็อย่าบอกพี่ใหญ่สิเจ้าคะ แค่ท่านไม่บอกพวกเขาและส่งข่าวให้พวกเขารู้ว่าข้าปลอดภัยอยู่ที่จวนท่าน เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว” “นี่เจ้า…เจ้าคงไม่ได้คิดแผนการนี้มาตั้งแต่ออกจากซีโจวหรอกนะ” ตงมู่ฟานมองหลานสาวอย่างรู้ทันความคิด เขาเลี้ยงนางมาตั้งแต่เด็กเหตุใดจะไม่รู้นิสัยของนาง “ท่านตา หลานเป็นทายาทของหมอที่เก่งที่สุดในสามแคว้น ท่านจะไม่ให้โอกาสข้าได้ใช้วิชาที่ท่านสอนเลยหรือเจ้าคะ” “เจ้านะเจ้า คำพูดหว่านล้อมนี่ไปเอามาจากที่ใดนักนะ ฮึ!!” “เอามาจากท่านอย่างไรเจ้าคะ จะมีผู้ใดเก่งกว่าท่านตาของข้าอีกเจ้าคะ” “ช่างฉอเลาะนัก ก็ได้ข้ายอมแพ้เจ้าแต่ว่าเจ้าต้องรับปากข้าว่าจะดูแลตัวเองให้ดี ข้าจะส่งคนไปคุ้มกันเจ้าเงียบ ๆ” “เจ้าค่ะ ท่านตาข้ารักท่านตาที่สุดเลย” “หึ จนได้สิน่า” ตงมู่ฟานหลงกลคำหว่านล้อมของหลานสาวสุดที่รักเสียจนได้ เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่กลัวที่ต้องส่งนางไปแต่ก็เหมือนที่มารดาของนางรู้เช่นกัน หลานสาวคนนี้มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นนักรบมีหรือที่นางจะอยู่เฉย ๆ เมื่อรู้ว่าพี่ใหญ่ของนางกำลังมีภัยอยู่ที่นอกเมืองนั่น วันถัดมา คณะหมอและยาที่จะเดินทางไปที่ค่ายของท่านอ๋องเตรียมพร้อมตั้งแต่เช้ามืด หลีม่านที่สวมชุดหมอสีอ่อนเดินมาสมทบกับคณะเดินทางที่หน้าจวน ครั้งนี้นางต้องเดินทางไปกับหมอและยาโดยไม่ให้เจียวจูเดินทางไปด้วยเหตุเพราะหากว่าพี่ใหญ่นางเห็นเจียวจูก็จะรู้ทันทีว่านางไปที่นั่น ดังนั้นนางจึงให้เจียวจูอยู่ที่จวนของท่านตา “เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี อย่าให้ผู้ใดจับได้โดยเด็ดขาดเพราะกฎของกองทัพเข้มงวดมากเข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะท่านตาข้าทราบแล้ว” “เช่นนั้นก็รีบเดินทาง คนเจ็บมีจำนวนมากเจ้าต้องพยายามอยู่ใกล้ ๆ พี่ชายของเจ้าเอาไว้ให้ดี” “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” “เดินทางเถอะ ไปถึงมืดมากจะไม่ดี” “คุณหนูเหตุใดไม่ให้ข้าไปกับท่านด้วยเจ้าคะ” “เจียวจูเจ้าไปคงไม่เหมาะจะทำให้พี่ใหญ่จับได้เสียเปล่า ๆ ท่านตาข้าฝากดูแลเจียวจูด้วยนะเจ้าคะ” “ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้ารีบเดินทางเถอะ” “เจ้าค่ะ” หลีม่านออกเดินทางแต่เช้าเพราะระยะทางจากที่ท่านตานางอยู่กับค่ายทหารของฟางอี้หลงใช้เวลาเกือบสองชั่วยามหากเดินทางด้วยรถม้า แต่หากขี่ม้าจะย่นระยะเวลาได้อีกครึ่งหนึ่ง แต่เพราะมียามาด้วยจึงทำให้การเดินทางต้องใช้รถม้า ค่ายชายแดนลู่โจว “ท่านหมอ ข้างหน้านี้แหละขอรับ” “อืม เช่นนั้นก็เอาป้ายนี้ไปแจ้งเถอะ” หลีม่านหยิบป้ายสกุลตงให้ทหารออกไปมอบให้กับทหารที่เฝ้าหน้าค่าย ก่อนที่คณะเดินทางของนางจะค่อย ๆ เข้ามาถึงในค่ายทหาร เมื่อก้าวเท้าลงจากรถม้าหลีม่านก็ใจเต้นแรงทันที ห้าปีที่นางไม่เคยพบกับพี่ใหญ่ของนางเลย จากวันที่เป็นเด็กจนเติบโตมาตอนนี้เขาคงจะจำหน้านางไม่ได้แล้ว “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ไหนล่ะหมอน่ะ อยู่ที่ใด” เสียงที่แม้จะอยู่ไกลแต่แค่นางได้ยินก็จดจำได้ทันทีว่าเป็น “ฟางอี้หลง” พี่ชายของนางแน่นอนซึ่งตอนนี้เขาเดินมาพร้อมกับเชิญท่านหมอที่มาพร้อมกับนางสองคนไปที่กระโจมของทหารจึงเหลือแค่นางและยาที่อยู่บนรถม้าเมื่อเขาเดินมาก็หันมาเรียกนางทันที “ท่านหมอ ท่านตามข้ามาทางนี้เถอะ อาการท่านอ๋องแย่แล้วช่วยเขาที” ฟางหลีม่านมองดูพี่ชายตาไม่กะพริบ นางสวมที่ปิดปากเขาจึงจำนางไม่ได้และรีบกระซิบพูดกับนางด้วยท่าทางร้อนใจเพราะเขาไม่อยากให้ผู้อื่นได้ยินว่าท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัสนั่นเอง “ท่านหมอ!!” “อ้อ ใช่แล้ว เชิญท่านนำทางเถอะท่าน…” “ข้ารองแม่ทัพฟาง เรียกข้าว่าอี้หลงก็ได้” “พี่อี้หลง” ฟางอี้หลงนั้นแม้จะจับสำเนียงในการพูดของนางได้แต่ก็ไม่ได้มีเวลาใส่ใจเพราะในตอนนี้อาการของท่านอ๋องที่กำลังบาดเจ็บจากดาบของข้าศึกกำลังน่าเป็นห่วงอยู่ เมื่อเขาพานางมายังกระโจมใหญ่ของท่านอ๋อง เสียงของคนข้างในก็ดังขึ้นจนนางได้ยินชัด “เร็วเข้ารองแม่ทัพฟาง ท่านอ๋องเลือดออกไม่หยุดเลย” “ท่านหมอเชิญทางนี้” “ขอรับ” “ท่านหมอหรือ เหตุใดตัวเล็กนักล่ะ” นายกองและรองแม่ทัพคนอื่น ๆ หันไปดูตามที่รองแม่ทัพเหรียนพูด “ตัวเล็กเช่นนั้นจะรักษาได้จริงหรือ ครั้งนี้หมอที่สกุลตงส่งมาคงมิใช่เด็กน้อยที่พึ่งหัดเรียนวิชาแพทย์หรอกนะ” “คงไม่หรอก รอดูไปก่อนก็แล้วกัน” หลีม่านตื่นเต้นจนเดินชนหลังของอี้หลงเพราะเขาหยุดกะทันหัน “ขะ ขอโทษขอรับ” “เจ้าตื่นเต้นอะไร ท่านตาบอกข้าว่าเจ้าเก่งที่สุดในบรรดาหมอที่จะมาวันนี้ดังนั้นเจ้าช่วยท่านอ๋องด้วย เข้าไปเถอะ” ฟางหลีม่านหัวใจเต้นแรงเพราะไม่คิดว่านางจะได้พบเขารวดเร็วขนาดนี้ นางเดินเข้าไปพร้อมกับกล่องยาที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรงถือเพราะความตื่นเต้น แต่ผู้ที่นอนอยู่นั้นอาการบาดเจ็บนับว่าสาหัสเอาเรื่องเพราะเป็นแผลจากดาบที่ฟันพาดจากไหล่ลงมาเกือบถึงหน้าอกและเลือดก็ออกมาไม่หยุด “เราพยายามห้ามเลือดแล้วแต่ก็…” “ท่านรีบไปเอาผ้าสะอาดมาให้ได้มากที่สุด น้ำอุ่นและข้าขอไฟด้วย เราต้องฝังเข็มเขาเพื่อห้ามเลือดเสียก่อนถึงจะทำแผลได้” “ได้!! ข้าจะรีบเตรียมให้เดี๋ยวนี้เลยท่านรอก่อนนะ” “เร็ว ๆ เข้า ข้าจะรีบฝังเข็มมิเช่นนั้นเขาได้เลือดไหลออกมาจนหมดแน่” ฟางอี้หลงวิ่งออกไปด้วยความเร็วพร้อมกับความโกลาหลของคนในกระโจมใหญ่ที่รีบจัดหาสิ่งของที่ท่านหมอสั่ง ซึ่งไม่นานนางก็เริ่มซับเลือดและค่อย ๆ ฝังเข็มทีละอันลงบนร่างที่หมดสติอยู่ของท่านอ๋อง “เป็นอย่างไรบ้าง” “ห้ามเลือดได้แล้วเหลือแค่ทำแผล” “ยอดเยี่ยมจริง ๆ หมอที่มาจากสกุลตงไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย” “พวกท่านรีบไปสั่งให้คนต้มน้ำร้อนเพิ่มเถอะ ขอผ้าสะอาดเพิ่มด้วย” “ขอรับท่านรองแม่ทัพ” หลีม่านค่อย ๆ เริ่มเย็บปากแผลให้เขาและค่อย ๆ ดึงเข็มออก ในตอนนี้เองที่นางได้สังเกตใบหน้าของท่านอ๋องได้ชัดขึ้น เขาไม่เหมือนกับ หยางห่าวหรานที่นางเจอครั้งสุดท้ายเลยสักนิด ในยามนี้แม้ว่าเขาจะปล่อยผมยาวและบาดเจ็บ แต่ใบหน้าที่กรำศึกอย่างหนักและโตขึ้นตามวัยกลับยิ่งทำให้ใจของฟางหลีม่านเต้นแรงมากยิ่งขึ้น “ตั้งสติหน่อย เจ้ามาเพื่อรักษาคน” แต่รูปร่างและกล้ามเนื้อที่สมส่วนของคนตรงหน้าก็ทำเอานางเสียสติไปหลายรอบแม้ว่าจะพยายามไม่มองแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามทั้งใบหน้าและรูปร่าง สายตานางเริ่มเลื่อนไปด้านล่างแม้ว่าจะไม่อยากแต่ก็สุดจะห้ามได้เพราะว่าเขาช่างเย้ายวนเหลือเกิน “บ้าไปแล้ว พอกันทีฟางหลีม่าน ตั้งสติ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม