บทนำ

1619 คำ
ต้นฤดูหนาวแคว้นจ้าว สายลมหนาวโชยพัดพาเอาความหนาวเย็นและความแห้งแล้งเวียนมาอีกครั้ง ตำหนักเหม่ยฮวาจวนเป่ยจิ้งอ๋องยามนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เนื่องจากมีสตรีจากเมืองหลวง ศักดิ์เป็นถึงจิ้งซินเสียนจู่ หรือ เซี่ยหมิงหลัน ท่านหญิงสามแห่งราชวงศ์เซี่ยปัจจุบันแต่งเข้ามาเป็นชายาของเป่ยจิ้งอ๋อง บุรุษผู้ที่ภายนอกเย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่ภายในนั้นมีเพียงสตรีในดวงใจหนึ่งเดียวคือ เซี่ยผิงหลัว มิรู้เหตุอาเพศใดถึงได้ผิดฝาผิดตัวกลายเป็นองค์หญิงสามแสนหยิ่งทนงผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวแต่งเข้ามาแทน เสียงลือเสียงเล่าอ้างทั่วทั่งตำหนักถึงการกระทำต่ำช้าหว่านเสน่ห์ยั่วยวนแย่งสามีน้องสาว ก็หาได้ถูกแก้ต่างอันใดจากผู้เป็นใหญ่แห่งตำหนักเป่ยจิ้งอ๋องไม่ ราวกับเห็นดีเห็นงามเรื่องซุบซิบนินทาไม่จริงนั้นด้วยเสียเอง เซี่ยหมิงหลันเป็นท่านหญิงสามใน ชินอ๋อง เซี่ยหยุนหลง ในวัยสิบเก้าหนาวซึ่งอีกไม่นานก็ถึงวัยออกเรือน เดิมนางมีสัญญาหมั้นหมายกับ เยี่ยเฉิงโหวหรือ อู๋หลิงเซียว ความฝันที่จะได้เป็นเยี่ยเฉิงโหวฮูหยินมลายสิ้นเพียงเพราะน้องสาวใจอำมหิตผิดมนุษย์เช่น ‘เซี่ยผิงหลัว’ นางวางแผนกับบุรุษใจทมิฬเฉกเช่นเดียวกันกับนาง เพื่อหมายทำลายชื่อเสียง หวังให้อู๋หลิงเซียวรังเกียจเดียดฉันท์ จนสุดท้ายนางต้องเป็นสตรีที่เร่งรีบแต่งงานเพื่อกู้ศักดิ์ศรีราชวงศ์กลับคืนกับอ๋องต่างแซ่อย่างเว่ยซือหลาง ยาปลุกกำหนัดที่นางดื่มเข้าไปทำให้นางร้อนรุ่มและเรียกร้องเอากับเขา จวบจนรุ่งเช้าพลันได้สตินางถึงกับอยากแขวนคอล้างอาย ต่อให้ความจริงเปิดเผยแล้วอย่างไร นางก็ถูกยำยีโดยบุรุษหน้าเนื้อใจเสือผู้นั้นไปแล้ว น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งราวกับสายนทีฮวงโหเพื่อก้มหน้ารับกรรมในสิ่งที่ตัวเองมิได้ก่อเอาไว้ ‘พระชายาเป่ยจิ้งอ๋องแล้วอย่างไร เขาปฏิบัติกับข้าต่างอันใดกับสตรีบำเรอกามบุรุษในหอคณิกางั้นเหรอ?’ ทุกข์ใดก็ไม่ทุกข์เท่าร่วมหลับนอนกับบุรุษที่ตนชิงชัง ‘เจ้าคิดว่าข้าพิศวาสในตัวเจ้างั้นรึ เจ้าก็แค่ตัวแทนนาง!’ คำพูดนี้กรอกหูทุกเช้าค่ำ ยามเขาร่วมหลับนอนกับนาง สิ่งที่ไม่เข้าใจคือ เขาโกรธแค้นกันแต่ชาติปางใด นางไปฆ่าบิดาหรือมารดาเขางั้นรึ ถึงได้ตามราวีไม่จบไม่สิ้น หากชิงชังเช่นนี้มิต่างคนต่างอยู่เล่า ต้องบังคับมีสัมพันธ์กับนางทำไมทุกค่ำคืน ‘ข้าเพียงคิดถึงนาง เจ้าหน้าเหมือนกัน ยามร่วมรักกับเจ้าทำให้ข้าคลายความคนึงหานางได้บาง’ ‘คำก็เชี่ยผิงหลัว สองคำก็เซี่ยผิงหลัว หากรักกันมิย่ำยีนางเล่า เลือกจะย่ำยีข้าด้วยเหตุใด’ นับจากเหตุการณ์เลวร้ายในครานั้นผ่านมาร่วมสามเดือนที่นางต้องทนทุกข์ทรมานร่วมชายคาเดียวกับบุรุษสารเลวผู้นี้ ฮึก...อ้วก...อ้วก...อ้วก! เสียงคลื่นไส้ในยามเช้าตรู่ดังมาเป็นระยะ ปลุกสาวใช้สองคนที่ตามเชี่ยหมิงหลันมาจากแคว้นจ้าวให้ตื่นขึ้น “พระชายาเพคะ...พระชายาเป็นอันใด” ซูเจียวที่อายุมากกว่าเยี่ยนฟางส่งเสียงถามเข้าไปด้านใน เพราะมิกล้ารบกวนด้วยรู้ว่าผู้ใดที่ร่วมหลับนอนกับนายของตนทุกค่ำคืน เสียงเอะอะของหมิงหลันสร้างความรำคาญใจให้กับ เป่ยจิ้งอ๋อง เขาเพียงอยากพักผ่อนให้นานอีกหน่อย เหตุใดนางจึงลุกขึ้นโก่งคออาเจียนเสียหมดไส้หมดพุงปลุกเขาเช่นนี้ “เจ้าบังอาจนัก กล้าปลุกเข้างั้นรึ” คนที่งัวเงียตื่นขึ้นมาก็หาเรื่องเอากับคนป่วยทันที “หากท่านตาไม่มืดบอด คงมองออกว่าข้าไม่สบาย” ต่อให้ตัวเจ็บเจียนตาย หากได้ต่อปากกับเขาบ้างถือว่าระบายความคับแค้นในใจลงได้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี “สตรีอวดดี!” “ไม่สบายก็ตามหมอ” เป่ยจิ้งอ๋องลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปอย่างไม่ใยดีสตรีที่บำเรอความสุขให้ทุกค่ำคืน เซี่ยหมิงหลันมองตามเงาดำมืดทะมึนด้วยแววตาวาวโรจน์ผสมความชิงชัง “ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าตายเหมือนหมาเว่ยซือหลาง!” แต่งงานกันร่วมสามเดือนวาจาดี ๆ หามีไม่ล้วนแล้วแต่ด่ากราดสาดเสียด้วยกันทั้งคู่ ‘เป่ยจิ้งอ๋องแล้วอย่างไร คิดว่าข้าจะเกรงบารมีเจ้าหรือ’ เนื่องจากเสด็จอาของนางคือผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ฮ่องเต้เซี่ยหลวนคุณทำให้เขายังเกรงบารมีไม่กระทำการอุกอาจกับนาง แต่กิริยาต่ำช้าที่ทำกับร่างกายผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเป่ยจิ้งอ๋องล้วนไม่เคยคิดรักหยกถนอมบุปผา หลังจากเขาไปแล้วสองสาวใช้กรูกันเข้ามาปรนนิบัติเจ้านายของตน “พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ซูเจียวกล่าวด้วยน้ำเสียงแสนเป็นห่วง ร้อยวันพันปีร่างกายนี้ไม่เคยเจ็บป่วย อยู่ดี ๆ กลับคลื่นไส้อาเจียนจนหน้าดำหน้าแดง คงเพราะท่านอ๋องใช้งานท่านหญิงหนักเกินไป “ข้าเวียนหัว คลื่นไส้ พยุงข้าไปที่เตียงนอนหน่อย” เชี่ยหมิงหลันร้องขอให้สาวใช้ช่วยเหลือตนเอง “พระชายาเพคะ ข้าจะไปตามท่านหมอมาให้ท่านเอง” เยี่ยนฟางเสนอตัวแล้วก็รีบวิ่งออกไป กลัวท่านหญิงจะเป็นอันตราย ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดของผู้เป็นนายทำให้บ่าวอย่างเยี่ยนฟางรีบไปแจ้งกับซุนกงกงผู้ดูแลตำหนักด้วยความเร่งรีบจนลนลาน ...ก็อก...ก็อก...ก็อก... เสียงเคาะประตูหน้าห้องซุนกงกงดังขึ้นแต่เช้าตรู่ ทำให้คนที่กำลังหลับสบายในห้วงนิทราไม่สบอารมณ์ “ซุนกงกงเจ้าคะ ผู้น้อยเยี่ยนฟางเองเจ้าค่ะ ข้าอยากรีบมาแจ้...” “เสียงโวยวายอันใดกันแต่เช้าคนจะหลับจะนอน เด็ก ๆ เอาสตรีนางนี้ไปโบย 10 ไม้” เสียงเอ็ดอึงของซุนกงกง เรียกให้เหล่านางกำนัลแถวนั้นยึดเอาร่างของสตรีน้อยนางนี้ไปวางทาบกับโต๊ะไม้ เพื่อสร้างความสำราญแก่ผู้ดูแลจวนก่อนจะสอบถามเอาความ ตำหนักเป่ยจิ้งอ๋อง ซุนกงกง มีอำนาจสั่งการรองจากท่านอ๋องจึงวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มคนทั้งจวนราวกับเจ้านายผู้หนึ่ง “เมตตาข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ ซุนกงกง เมตตาข้าน้อยด้วย” ตุบ ตับ ตุบ ตับ....! เสียงไม้กระทบแผ่นหลังของสตรีน้อยเรียกรอยยิ้มเหี้ยมผุดขึ้นบนใบหน้าของผู้สั่งโทษโบย โดยไร้ความปราณีใด เสียงกรีดร้องดังไปทั่วเรือนรับใช้เมื่อโบยเสร็จนางก็ถูกสั่งให้คุกเข่ารายงาน “มีอันใดว่ามา” “พระชายาฮึก...พระชายา...ฮึก” “หากเจ้าไม่ว่าอันใดออกมา ข้าจะถือว่าเจ้าไม่ได้มาที่นี่ ลากตัวออกไป” เสียงกร้าวสั่งลั่นทำให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่อาจจะขัดคำสั่งใด เยี่ยนฟางยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบห้าหนาว นางไม่เคยผ่านการลงทัณฑ์ใด ๆ จึงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ร่างที่ย่ำแย่เสื้อด้านหลังเปียกชุ่มด้วยเลือดเดินปาดน้ำตาเข้ามายังตำหนักเหม่ยฮวาเรียกให้สตรีในตำหนักทั้งสองหันมอง “เยี่ยนฟางผู้ใดรังแกเจ้า” เสียงอ่อนล้าของเซี่ยหมิง หลันมองดูสาวใช้ของตัวเองที่โดนทำร้ายจนเสื้อด้านหลังชุ่มด้วยโลหิตแดงฉานก็ตกใจนัก “ซุนกงกงมิฟังอันใดเลยเพคะ จับข้าน้อยโบยอย่างเดียว” เสียงสะอื้นของคนสนิทที่รักปานพี่น้องร่วมสายเลือดฉุดอารมณ์กรุ่นโกรธให้กับเซี่ยหมิงหลัน เสียงกัดฟันกรอดของผู้เป็นนายดังขึ้นเรียกขนอ่อนของสองสาวใช้ให้ลุกชันท่วมหัว “รังแกกันเกินไปแล้ว!” เสียงคำรามนี้ไม่บ่อยนักที่ซูเจียวและเยี่ยนฟางจะได้ยิน ยามปกติท่านหญิงสามเป็นสตรีสุภาพอ่อนโยน คำหยาบเพียงครึ่งคำก็มิเคยหลุดจากปาก ครั้งเมื่อย้ายมาที่แคว้นจ้าวแห่งนี้ ถ้อยคำสาปแช่งด่าทอล้วนได้ยินได้ฟังทุกค่ำเช้า แต่สองสาวใช้ก็มิชินชาเสียที “พระชายาพอลุกไหวไหมเพคะ นั่งรถม้าออกไปหาท่านหมอในเมืองเถิด” ซูเจียวระลึกเสมอว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง ผู้คนล้วนไม่ใช่คนของตระกูลเซี่ย ดังนั้นย่อมโดนรังแกกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทว่าวันนี้ท่านหญิงสีหน้าไม่ดีนักจะชักช้าก็กลัวมิทันการ “หึ! ข้าตกต่ำถึงขั้นไม่สบายยังต้องออกไปหาหมอเองแล้วงั้นหรือสมเพชนัก” “พระชายา/พระชายา” สองสาวใช้เรียกเจ้านายตนด้วยน้ำตาเอ่อคลอ “ช่างเถอะ ข้าหาใช่สตรีอ่อนแอเสียหน่อย บุรุษใจทรามผู้นั้นคงรู้เห็นเป็นใจ สินเดิมข้าก็มีไม่น้อย เจ้าไปหยิบถุงเงินมาสักห่อใหญ่เถิด ข้าจะไปหาหมอด้วยตนเอง” บัดนี้นางย่อมซาบซึ้งใจดีว่าเป่ยจิ้งอ๋องใจดำเพียงใด ร่างที่อยู่ในอาภรณ์สีครามสวมทับด้วยเสื้อขนจิ้งจอกขาวป้องกันความหนาวเข้าสู่ร่างกาย เดินฝ่าลมเย็นไปด้านนอก นางเป็นถึงพระชายาแต่ต้องบากหน้าเดินไปถึงหน้าตำหนักเพื่อขึ้นรถม้าในสภาพที่ร่างกายพร้อมทรุดได้ทุกเมื่อ “ไปเรียกรถม้า ข้าจะไม่ใช้รถม้าของตำหนักอ๋อง” เมื่ออวดดีแล้วนางก็ขอหยัดยืนด้วยลำแข้งให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน ส่วนสามีเฮงซวยผู้นั้นขอให้ไม่ตายดี!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม