ณ สถานที่ที่มีคนโทรแจ้งผม ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็ขับรถมาถึงจุดเกิดเหตุ ผู้คนรุมดูเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นด้านหน้าผม แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับรถยนต์คันคุ้นตา นั่นมันรถยนต์ส่วนตัวของพี่สิงห์ ใบหน้าผมร้อนวูบใจเต้นแรงมือไม้สั่นเทาอย่างบอกไม่ถูก แต่สัญชาตญาณความเป็นสายเลือดเดียวกันมันช่วยให้ผมค่อยๆ ก้าวขาเดินเข้าไปยังรถคันนั้น ด้วยความแปลกใจผมพยายามกวาดสายตาไปโดยรอบก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูหรือปอเต็กตึ้งมาปฏิบัติหน้าที่ จุดเกิดเหตุนี้มีเพียงผู้คนมุงดูแล้วรถตำรวจที่จอดอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก
สภาพรถที่ผมเห็นมันหงายขึ้นฟ้า กันชนหน้าพังยับไม่เหลือชิ้นดีและข้างๆ กันนั้นปรากฏเสาไฟฟ้าต้นใหญ่หักสามท่อนกองอยู่ด้านข้างรถยนต์ที่สภาพดูไม่ได้ แล้วพี่ชายของผมอยู่ไหน ผมรู้สึกใจหายปนสงสัยอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วพี่ชายของผมไปอยู่ไหน ก่อนที่ผมจะเดินไปดูยังรถยนต์ที่คงหงายขึ้นฟ้าด้วยความร้อนรน
“อย่าเพิ่งเข้าไปนะครับคุณ มันอันตรายครับ”
ผมถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องห้ามขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปดึงเศษกระจกฝั่งคนขับเพื่อดูภายในรถว่าพี่ชายของผมอยู่ในนั้นหรือไม่
“พี่ชายของผมอยู่ด้านในหรือเปล่าครับคุณตำรวจ”
“ภายในรถไม่มีใครครับ ผมได้สอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แล้วว่า ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งจอดรถแล้วลงมาด้านนอก แล้วทำอะไรบางอย่างกับรถยนต์ไม่ถึงเสี้ยวนาทีรถยนต์คันนี้ก็วิ่งมาเองด้วยความเร็ว กระทั่งรถยนต์ชนเข้ากับเสาไฟฟ้าแรงสูงต้นนี้ครับ หลังจากนั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่เจอผู้ชายคนนั้นอีก คงจะอาศัยความชลมุนหนีไป ไม่รู้ว่ามีเหตุจูงใจอะไรถึงทำแบบนั้นครับ เมื่อสักครู่นี้เห็นคุณบอกว่าเขาเป็นพี่ชายของคุณเหรอครับ”
ผมฟังเรื่องราวจากคุณตำรวจก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่พี่ชายของผมทำ ว่าเพราะอะไรถึงทำแบบนี้
“ใช่ครับเขาเป็นพี่ชายของผม แต่เมื่อประมาณ 20 นาทีที่แล้วมีคนโทรเข้ามาเบอร์ของผมไม่รู้เขารู้จักเบอร์ของผมได้ยังไง”
ระหว่างที่ผมกำลังอธิบายให้ตำรวจฟังได้มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดอธิบาย
“ขอโทษนะครับ ผมเป็นคนโทรบอกคุณเอง คือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมีผู้ชายคนหนึ่งบอกผมว่าให้โทรบอกคนในเบอร์นี้ว่าเกิดเหตุขึ้นกับเขา โดยเขาบอกชื่อของเขาว่าเขาชื่อสิงห์ แล้วคนในเบอร์ชื่อเสือน่าจะเป็นคุณใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ แล้วตอนนี้พี่ชายของผมอยู่ไหนครับ”
ผมย้อนถามด้วยความสงสัยและอดเป็นห่วงพี่สิงห์ไม่ได้
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ หลังจากที่เขาอธิบายว่าให้ผมต้องพูดแบบนี้เสร็จ เป็นจังหวะที่ผมกำลังจะหันไปคุยกับเขาต่อแต่ก็ไม่เห็นเขาแล้วครับ และไม่นานก็เกิดเหตุรถคว่ำอย่างที่ทุกคนเห็นนี่ล่ะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”
“ขอบคุณนะครับพี่ที่มาช่วยบอกผมว่าพี่ชายผมน่าจะยังปลอดภัยดี แต่แค่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ไหน”
สักพักหนึ่งได้มีรถเครนมายกรถยนต์พี่ชายผมไปยังสถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดถึงสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้
ผมรู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ผมตกใจและคาดคิดเอาไว้ โดยไม่ลืมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรบอกที่บ้านว่าพี่สิงห์น่าจะปลอดภัยดีแต่ตอนนี้กำลังให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบว่าพี่เขาอยู่ที่ไหนต่อไป
บนรถตู้สีดำที่จอดอยู่ข้างทาง
“ได้สติแล้วหรอ หายบ้าหรือยัง”
ผมตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“นี่กูยังไม่ตายหรอ แต่เมื่อกี้…”
“ฮ่าๆ.. มึงยิงปืนกรอกปากตัวเองใช่ไหมล่ะ งงล่ะสิที่ยังไม่ตายอ่ะ เพราะกูรู้ไงว่ามึงต้องใช้วิธีนี้เพื่อจบปัญหาแน่ๆ กูก็เลยถอดลูกกระสุนเก็บไว้แล้วก็คิดว่ามึงต้องใช้ปืนของกูเป็นเครื่องต่อรองแน่นอน แต่กูก็รู้สึกเสียใจนะที่มึงยอมแลกชีวิตของตัวเองกับไอ้หมอชายชู้ของมึงน่ะ ไม่ต้องมองหน้ากูอย่างนั้น กูไม่เคยคิดจะฆ่ามึงอยู่แล้ว มันง่ายไปถ้ากูจะฆ่ามึงอ่ะ สู้ค่อยๆ ทรมานมึงไปวันๆ จะดีกว่า สนุกกว่า ให้สมกับที่กูรักมึงมากไง เมื่อมึงทำให้กูรักมึงมาก ในทางกลับกันตอนนี้มึงทำให้กูโกรธมึงที่มึงแอบคิดคบชู้กับหมอในโรงพยาบาล กูก็จะทำให้ชู้ของมึงทรมานเพื่อที่จะทำให้มึงได้รับรู้รสชาติความทรมานที่มากกว่า เป็นยังไงล่ะชอบไหม อยู่ดีๆ กับกูไม่ชอบ หาเรื่องใส่ตัวเองนะจ๊ะเมียจ๋า ที่สำคัญไม่ต้องกลัวแล้วนะว่าต่อไปนี้กูจะใช้ความรุนแรงกับเมียสุดที่รักของกู มันมีอะไรที่สนุกกว่านั้นเยอะคอยดูต่อไปละกัน ถึงบ้านได้รู้แน่นอน ฮ่าๆๆ…”
ผมรู้สึกหวาดกลัวคนตรงหน้าอย่างมาก นี่มันเสียสติไปแล้วใช่ไหม ผมได้ฟังทุกคำพูดของมัน ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดโดยไม่คิดว่าคนที่ผมฝากชีวิตด้วยจะมีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้ มันไม่ฆ่าผมตอนนี้ก็เท่ากับการกระทำของมันที่จะเกิดขึ้นนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปก็ไม่ต่างจากการฆ่าผมให้ตายอย่างช้าๆ เลย แล้วตอนนี้คุณหมอจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมเป็นห่วงเขาเหลือเกินไม่อยากให้เขาต้องเจอเรื่องเลวร้ายเหมือนกับผม แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อตอนนี้ผมเองก็ยังปกป้องตัวเองไม่ได้เลย
ระหว่างที่รถตู้กำลังแล่นอยู่บนถนนใหญ่ ไอ้คนใจร้ายก็หันมาพูดอะไรบางอย่างกับผม
“หรือว่าถ้ากูทำให้มึงมีท้อง มึงก็จะไปร่านกับคนอื่นไม่ได้แล้วใช่ไหม จากนั้นมึงก็จะอยู่บ้านเป็นเมียที่แสนน่ารักของกูต่อไป.. ใช่ไหมวะนะ!”
“ครับนายใหญ่”
ผมหันไปมองคนขับรถที่มีสีหน้าเสียใจที่ไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้เป็นนายได้ เขาจึงต้องตอบรับคำแบบนั้น ทันใดนั้นเมื่อมันได้ยินลูกน้องคนสนิทเห็นดีด้วยมันก็เริ่มลงมือกระทำสิ่งเลวทรามกับผมบนรถตู้ระหว่างทางอย่างไร้ความเมตตา…
บนรถส่วนตัวนายแบบชื่อดัง
ระหว่างทางที่ผมขับรถกลับบ้านหลังจากที่เพิ่งกลับมาจากสถานีตำรวจเรื่องของพี่สิงห์ ที่จู่ๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้สร้างสถานการณ์ว่าตัวเองรถคว่ำแบบนั้น แล้วตอนนี้พี่ชายผมไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะ
“เอ๊ะ! มันเกิดอะไรขึ้นบนรถตู้คันนั้นน่ะ..”
ขณะที่ผมกำลังจะเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันยี่ห้อดัง สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นเหตุการณ์บางอย่างบนรถตู้สีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามฝากถนน เท่าที่สังเกตบริเวณนั้นก็มีต้นไม้ขึ้นข้างทางรกทึบ แล้วทำไมรถตู้คันนั้นต้องจอดตรงนั้นด้วย (นั่นมันคนกำลังถูกทำร้ายนี่ หรือคนที่กำลังถูกทำร้ายอาจจะถูกลักพาตัวมาจากที่ไหนสักแห่งแล้วมาทำร้ายบนรถตู้คันนั้นแน่ๆ) ผมคิดในใจกับภาพเหตุการณ์ที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ลักพาตัว! หรือว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนไข้ของพี่สิงแล้วถูกคนในรถตู้พามาทำร้าย”
ผมอุทานคำนั้นดังลั่นรถ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกับผมมาอย่างนี้ว่าคนไข้ของพี่สิงห์ถูกลักพาตัว ต้องเป็นคนนี้แน่เลย ผมพยายามโทรออกเบอร์พี่สิงห์อยู่ตลอดเวลาแต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ จากพี่ชายผม (หรือว่าพี่สิงห์จะอยู่บนรถตู้คันนั้นด้วย) ทันทีที่ผมคิดในใจจบลงจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เพื่อหวังจะช่วยพี่ชายของผมให้ปลอดภัยให้ได้
เมื่อผมตัดสินใจดีแล้วผมจึงหยิบปืนพกคู่ใจที่เก็บไว้ใต้เบาะคนขับพร้อมใส่กระสุนเต็มแม็กและไม่ลืมหยิบปืนสำรองอีกกระบอกพร้อมใส่กระสุนพกติดตัวไปด้วย ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วทำทีเป็นคนหลงทางไปถามทางจากคนขับรถตู้คันนั้น ในจังหวะที่ผมกำลังหาทางข้ามถนนไปฝั่งโน้นผมก็เห็นภาพที่ไม่อาจบรรยายได้ เพราะมันรุนแรงและทารุณเกินไปเกินกว่าจะหาคำใดมาอธิบายเหตุการณ์ตรงหน้าภายในรถตู้สีดำได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อผมมีจังหวะข้ามถนนไปจึงรีบเดินไปที่ประตูด้านข้างของรถตู้คันใหญ่แล้วทำทีว่าเคาะกระจก ทันใดนั้นเองคนที่กำลังก่อเหตุก็รีบหันมาพร้อมกับดึงเสื้อผ้าขึ้นมาใส่โดยไม่ลืมดึงผ้าผืนใหญ่ขึ้นกลุ่มอีกคนที่ตัวเล็กกว่าที่กำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ไม่นานประตูรถตู้ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่นั่งติดประตูถามผมอย่างไม่สบอารมณ์
“มีอะไรหรือเปล่าครับน้อง หรือว่าน้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
ทุกคนในรถตู้ต่างพากันตกใจที่ชายคนนั้นถามผม
“เปล่าครับพี่ คือผมหลงทางครับอยากจะถามทางพี่หน่อยอ่ะครับ”
“ไม่รู้น้อง พวกพี่ไม่ใช่คนแถวนี้ ลองไปถามคนอื่นเถอะ”
ผมตกใจเล็กน้อยพี่ชายคนนั้นไม่ตอบคำถามผม ซ้ำยังมาตัดบทผมอีก ขณะเดียวกันผมก็แอบชำเลืองมองไปที่เบาะด้านหลังรถตู้ เห็นคนตัวเล็กอยู่ในอาการสั่นเทาภายใต้ผ้าผืนใหญ่ โดยไม่ลืมที่จะกวาดสายตาไปด้วยรถตู้เพื่อมองหาพี่สิงห์พี่ชายของผมแต่กลับไม่เจอพี่เขาเลย เมื่อมาถึงจุดนี้ผมควรจะทำอย่างไรดีที่จะช่วยคนใต้ผ้าผืนใหญ่นั้นได้
“เอ่อ.. พี่ๆ ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ หรือว่าพวกพี่กำลังถ่ายละครกันอยู่ ผมเข้ามาขัดจังหวะการถ่ายละครหรือเปล่าครับพี่”
“น้อง.. มาทางไหนกลับไปทางนั้นไป พวกกูเสียเวลากับมึงนานแล้วนะ ไล่มันไปกูจะได้มีความสุขต่อ..”
แล้วเสียงของใครคนหนึ่งส่งเสียงมาจากทางด้านหลังรถตู้คันใหญ่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างมากก่อนกำชับให้ผู้ชายสูทดำอยู่ตรงหน้าผมไล่ผมไป
“ค..คุณอย่าเพิ่งไปช่วยผมด้วย!”
ผมได้ยินเสียงอย่างชัดเจนแต่มันกลับดูสั่นเครืออย่างน่าเป็นห่วง (ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมจะช่วยคุณเอง)
“ปล่อยคนที่คุณกำลังทำร้ายลงมา ไม่อย่างนั้นผมจะเป่าหัวผู้ชายคนนี้ทิ้งซะ”
หลังสิ้นคำขอความช่วยเหลือผมก็เหลือบไปเห็นสายตาของคนขับรถ ราวกลับว่ากำลังขอให้ผมช่วยเหลือคนที่กำลังถูกทำร้ายเช่นกัน ก่อนที่คนขับรถจะส่งสัญญาณพร้อมกับเปิดประตูฝั่งคนขับให้ผมเอง ผมจึงตามน้ำไปโดยการดึงเขาเข้ามาล็อกคอพร้อมกับหยิบปืนที่เอวขึ้นมาจี้ที่ขมับขวาของเขา
“นายใหญ่ช่วยผมด้วยครับ..”
พี่คนขับรถก็เล่นสมบทบาท มีอาการขัดขืนอยู่ตลอดเวลา แต่ทันทีที่ผมเอาปลายกระบอกปืนจี้ที่ขมับเขาก็สงบลงพร้อมกับส่งเสียงขอความช่วยเหลือกับผู้เป็นนายของเขาเป็นระยะ
“มึงปล่อยลูกน้องกูเดี๋ยวนี้ ก่อนที่มึงจะเป็นผีเฝ้าถนนเส้นนี้”
ฟังจากน้ำเสียงเหมือนคนก่อเหตุเป็นห่วงลูกน้องคนนี้เอามากๆ ดีละพี่คนนี้น่าจะเป็นข้อต่อรองเพื่อที่จะช่วยคนที่ถูกทำร้ายได้
“คุณก็ปล่อยคนที่คุณกำลังทำร้ายเขาก่อนสิ ผมถึงจะปล่อยคนของคุณ หรือคิดว่าผมไม่กล้าก็ลองได้นะ”
ปั้ง..ปั้ง..!!
ผมยิงปืนใส่ล้อรถตู้ไปสองนัดติดเพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าผมเอาจริง แล้วดูเหมือนว่าคนก่อเหตุจะลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะตะคอกใส่คนที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มให้ลุกขึ้นเดินออกมาทางด้านประตูแล้วผลักลงจากรถตู้อย่างแรงโดยยังมีผ้าผืนใหญ่ห่อตัวอยู่
“เอาไป มึงอยากได้มากใช่ไหม มึงกล้าทำกับกูอย่างนี้ สักวันมึงจะได้รู้ว่ากูเป็นใคร ปล่อยคนของกูได้หรือยัง!”
ฟังจากน้ำเสียงมันทำให้ผมรู้เลยว่าคนๆ นี้ไม่ธรรมดา แล้วชีวิตนายแบบธรรมดาๆ อย่างผมนับจากวินาทีนี้ไปก็คงไม่ธรรมดาอีกแล้วแน่ๆ ที่มาล้วงคองูจงอางอย่างเขา
“ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าคุณเป็นใคร แต่สิ่งที่ผมเห็นคุณกำลังทำร้ายชีวิตคนๆ หนึ่ง ผมเพียงอยากช่วยเขาไม่ให้ถูกทำร้าย มันผิดด้วยเหรอครับ”
“มึงไม่ต้องมาพูดดี ขอให้มึงรู้ไว้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชีวิตมึงจะไม่มีทางสงบสุข อะไรที่เป็นของกูวันหนึ่งกูจะเอากลับมาเป็นของกูให้ได้ มึงช่วยมันวันนี้ก็ขอให้มึงช่วยมันให้ตลอดแล้วกัน ออกรถ!”
ปึ้ง!
เสียงปิดประตูรถตู้นั่งสนั่นก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อสักครู่นี้ผมยิงล้อรถตู้ไปตั้งสองนัดอย่างนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะทีนี้ หรือว่าพี่คนขับรถคงไม่เห็นว่าผมยิงใส่พื้นดินเมื่อกี้มันไปถูกล้อรถเต็มๆ (อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ) ผมภาวนาในใจขณะที่กำลังประคองคนตัวเล็กอยู่ในมือ
ในเมื่อผมตัดสินใจช่วยชีวิตเขาให้ปลอดภัยแล้ว ผมก็คงต้องช่วยเขาต่อไปจริงๆ เขาดูสั่นตลอดเวลาจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้
“ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยชีวิตผม”
น้ำเสียงของเขายังดูหวาดกลัวเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรนะครับตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล เสร็จแล้วเราไปแจ้งความที่สถานีตำรวจกัน ให้คนที่เขาทำร้ายคุณได้รับโทษ”
ดูสีหน้าเขารู้สึกละเหี่ยใจชอบกลจนผมสัมผัสได้
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ อีกอย่างไม่ต้องพาผมไปโรงพยาบาลหรือสถานีตำรวจหรอกครับ เพราะถึงไปแจ้งความ กฎหมายก็ทำอะไรคนอย่างมันไม่ได้..”
ฟังคำพูดไม่กี่ประโยคจากปากของคนตัวเล็กนี้ กลับทำให้ผมเข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง
“ผมเข้าใจคุณ ไปขึ้นรถกับผมก่อนนะครับจะได้ปรึกษากันว่าจะให้ผมพาคุณไปส่งที่ไหน”
คนตัวเล็กพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินข้ามถนนพร้อมกันกับผมเพื่อไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าปั๊มน้ำมันยี่ห้อดัง