หญิงสาวสามคน และเด็กชายวัยสิบขวบอีกหนึ่งคนวิ่งเข้ามาหน้าเฉินฉางกง ตำหนักของต้าหวางแคว้นเซี่ย นามว่า หยางไป๋ ซึ่งหยางไป๋ต้าหวางป่วยมาสามวันแล้วไม่มีท่าทีที่จะหายจากการป่วยแต่อย่างใด ขนาดหมอที่เก่งที่สุดในใต้หล้าได้แต่ประคองชีวิตวันต่อวัน เพราะไม่มียาที่จะรักษาหายขาด ทำให้ขุนนางในราชสำนักต่างวิตกกังวลยิ่งนัก
หญิงสาวนามว่าหมี่ซู่จินมาถึงหน้าตำหนัก ทหารหลายคนต่างขวางนางเอาไว้ทันที ทำให้นางกำนัลของซู่จินเกิดไม่พอใจ
“เจ้ารู้ไม่ใช่หรือว่าหญิงตรงหน้าเจ้าเป็นใคร” หลินหลังนางกำนัลของซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หมี่ฟูเหริน เว่ยหวางโฮ่วมีรับสั่งไม่ให้พระนางเข้าเฝ้าต้าหวาง” ทหารเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเกรงใจหมี่ซู่จิน เพราะรู้ว่าซู่จินเป็นที่โปรดปรานของหยางไป๋ต้าหวางเป็นอันมาก (ฟูเหริน ตำแหน่งพระภรรยาชั้นสูงในองค์จักรพรรดิช่วงต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ฐานะสูงศักดิ์ เป็นรองเพียงจักรพรรดินี หรือหวางโฮ่ว)
“ข้าเห็นว่าผิงเฟยและหวางเย่คนอื่นๆ เข้าไปถวายการรับใช้ต้าหวาง ทำไมต้องยกเว้นหมี่ฟูเหรินที่เป็นรองแต่เพียงหวางโฮ่ว” เซียวมายานางกำนัลของซู่จินเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ (ผิงเฟย แปลว่า พระสนม)
“เว่ยจวง เจ้าคิดจะกีดกันข้ากับต้าหวางจนนาทีสุดท้ายเลยหรือ” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดังลั่นดังเข้าไปในตำหนัก ทำให้คนในตำหนักได้ยินเสียงของนางอย่างชัดเจน
ตลอดเพลาสามวันมาที่ผ่านมา ซู่จินยังไม่ได้เหยียบเข้าเฉินฉางกงแม้แต่ก้าวเดียว ตั้งแต่หยางไป๋ป่วยหนักปางตายก็ตามที เพราะถูกเว่ยจวงมีตำแหน่งเป็นหวางโฮ่วไม่ให้นางย่างกายเข้าไปในตำหนัก
“เหนียงชิน ข้าจะได้เจอฟู่จวินหรือไม่” เด็กชายวัยสิบขวบนามว่า หยางจิ้น บุตรชายเพียงคนเดียวของหมี่ซู่จินและหยางไป๋
ไม่นานนักหญิงสาวอีกคนก้าวเดินมาที่หน้าตำหนักอีกคน ทำให้เหล่าข้าหลวงและเหล่าทหารต่างถวายบังคม ไม่เว้นแม้แต่หมี่ซู่จินที่ต้องถวายบังคมนางด้วยความนอบน้อม
“หยางเล่อกงจู่” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“หยางเล่อกูกุ” หยางจิ้นเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มและดีใจ อีกทั้งเขายังถวายบังคมอีกครั้ง หยางเล่อเผยรอยยิ้มมองหยางจิ้นด้วยความเอ็นดู (กูกุ แปลว่า ป้า หรือ น้า ฝ่ายพ่อ)
“พวกเจ้ากล้าขวางหมี่ฟูเหริน นางมีศักดิ์สูงกว่าพวกเจ้ามาก นางสามารถสั่งโบย หรือสั่งจองจำพวกเจ้าได้ ยังไม่รีบเปิดทางอีกหรือ” หยางเล่อเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดุดันทรงอำนาจ มองไปยังเหล่าทหารที่ดูเกรงกลัว หยางเล่ออย่างมาก
“หวางโฮ่วมีรับสั่งให้เหล่าผิงเฟยเข้าเฝ้า แต่ไม่ให้หมี่ฟูเหรินเข้าเฝ้าเพียงผู้เดียว” ทหารผู้นั้นเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยความกลัวเกรง
“หมี่ฟูเหริน จิ้นเอ๋อร์เข้าไปกับข้า ดูสิใครหน้าไหนจะขวางข้างผู้เป็นเม่ยเมยของต้าหวาง” หยางเล่อเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง และจับมือเรียวของซู่จินก้าวเดินไปในตำหนักพร้อมกับหยางจิ้น ทหารก็ไม่อาจห้ามได้ (เม่ยเมย แปลว่า น้องสาว)
เมื่อเข้ามาในตำหนักกลิ่นยาคละคลุ้งฟุ้งไปทั่วในตำหนัก เหล่าขุนนางและเหล่าผิงเฟยที่รอเข้าเฝ้าต่างถวายบังคมนางผู้สูงศักดิ์ทั้งสองและหวางเย่องค์น้อยที่ก้าวเดินมาพร้อมกัน ไปยังห้องนอนที่อยู่หลังฉากภาพวาดทิวเขา เหล่าหมอหลวงประมาณสี่ห้าคนถวายบังคมและเดินกันชนละมุน
บนตั่งนอนไม้พะยูงมีชายวัยกลางคนนอนอยู่บนตั่งเตียงมีเสียงไอออกมาเป็นระยะ มีหญิงสาวใช้ผ้าเช็ดที่ริมฝีปาก อีกทั้งนางสวมชุดสีส้มอ่อนประดับเครื่องหัวงดงามและสูงค่ามากชิ้นบ่งบอกถึงฐานะของนาง
“ฟู่จวิน” หยางจิ้นเอ่ยเรียกหยางไป๋ และนั่งคุกเข่าข้างตรงเตียงมองอาการของเขาที่รวยริน
“จิ้นเอ๋อร์ จินเอ๋อร์” หยางไป๋เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เหมือนคนเหน็ดเหนื่อย
“ต้าหวาง” หมี่ซู่จินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจที่เห็นหยางไป๋ในสภาพเช่นนี้ อีกทั้งฉายแววเศร้า นางทรุดตัวลงข้างตั่งเตียง โดยไม่สนใจหญิงสาวที่นั่งบนตั่งเตียงควบคุมอารมณ์ไม่ให้ปะทุออกมา หมี่ซู่จินไม่ได้สนใจนางแต่อย่างใดใช้มือเรียวทั้งสองข้างถูกกันเพื่อไล่ความเย็นออก และจับมือหนาเอา
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าต้องการพูดคุยกับจินเอ๋อร์” หยางไป๋เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทุกคนที่อยู่ในตำหนักจึงก้าวเดินออกไป มีเพียงซู่จินและหยางไป๋อยู่เพียงลำพังเท่านั้น
“จินเอ๋อร์เจ้าไปนำหีบที่หัวเตียงมาให้ข้า...แคร่กๆ” หยางไป๋เอ่ยบอกนางและไอออกมา ซู่จินใช้มือปาดน้ำตา แล้วเดินไปที่ตรงหัวตั่งเตียงมีหีบใบเล็กสีดำวางอยู่ ซึ่งหีบใบนั้นไร้ลวดลาย และดูเก่าจนฝุ่นจับ นางจึงปัดฝุ่นออกทันที และออกมา เพราะได้สูดละอองฝุ่นเข้าไป นางหยิบหีบมายังตั่งเตียงวางหีบลงข้างมือของเขา ขณะเขาไอไม่หยุด แล้วส่งกุญแจให้นาง นางรับกุญแจเอาไว้
“เปิดหีบออก” เขาเอ่ยบอกเช่นนี้ นางจึงเปิดหีบออก เห็นม้วนผ้าสีทองอยู่หนึ่งม้วน นางคลี่ม้วนผ้าออกเห็นตัวหนังสืออยู่ในม้วนทำให้นางตกใจและตาโตทันที
“ต้าหวาง” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอุทาน
“จินเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับข้ามาสิบกว่าปี เจ้าทำให้เจ้ามีความสุขมาโดยตลอด อีกทั้งยังให้กำเนิดหยางจิ้นให้ข้าให้ข้า เขาเป็นเด็กทีี่เฉลียวฉลาด ต่างจากหยางหลี่ ไท่จื่อของข้า จินเอ๋อร์ข้ารักเจ้านะ จงดูแลจิ้นเอ๋อร์จนเขาเติบใหญ่ จนกว่าที่เขาจะดูแลตัวเองได้” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงโรยริน นางหลั่นน้ำตาออกมาอีกครั้ง (ไท่จื่อ แปลว่า รัชทายาท)
“ต้าหวางทรงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว หม่อมฉันจะดูแลจิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างดี ไม่ต้องห่วงหม่อมฉันกับจิ้นเอ๋อร์” นางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาสะอื้นร่ำไห้ เขาค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ มือหนาที่ยกขึ้นมาก็ร่วงหล่นทันที
“ต้าหวาง ต้าหวางอย่างทิ้งหม่อมฉันไป ต้าหวางจะทิ้งหม่อมฉันไปไม่ได้ ต้าหวาง!!!” หมี่ซู่จินร้องไห้แทบขาดใจมองหยางไป๋ที่จากไปไม่มีวันกลับ
หลังจากหยางไป๋สวรรคตไปแล้ว ซู่จินก้าวเดินออกมานอกห้องทั้งน้ำตา หยวนอวี้ขันทีของหยางไป๋เข้าไปในห้องนอนทำให้เขากรีดร้องออกมาด้วยความเศร้าโศก
“ต้าหวาง!!!” เสียงของขันทีเฒ่าร้องด้วยความเจ็บปวด เนื่องด้วยหยวนอวี้เป็นขันทีและเพื่อนสนิทของหยางไป๋ อีกทั้งเสียงร้องของเขาทำให้เหล่าผิงเฟย เหล่าหวางเย่ และเหล่ากงจู่ รวมไปถึงเหล่าข้าหลวงต่างร้องด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก
ส่วนซู่จินก้าวเดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบๆ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจไม่ต่างจากพวกเขาที่ต้าหวางจากไปกะทันหันเช่นนี้