ณ บ้านใหญ่ เวลา 18.45 น.
ครืด!
เก้าอี้โต๊ะอาหารถูกดึงเลื่อนออกด้วยแรงมือของเขาเอง จากนั้นก็พาตัวเองนั่งลงบนที่นั่งเตรียมตัวสำหรับมื้ออาหารเย็นอย่างเช่นทุกวัน มือข้างหนึ่งหยิบเอาโทรศัพท์ส่วนตัวขึ้นมาเลื่อนดูอะไรไปเรื่อย ระหว่างรอแม่บ้านจัดเตรียมอาหารและพ่อที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครบางคน
หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพวกเราก็เหมือนถึงเวลาเลิกงาน ส่วนของสำนักกับบ้านอยู่ในที่ดินผืนเดียวกันเพียงแต่ตัวบ้านจะอยู่ด้านหลัง โดยมีเพียงสวนดอกไม้และศาลเจ้าที่กั้นระหว่างสำนักกับบ้านเอาไว้เป็นการหลอกสายตาของคนนอก
“มันก็น่าจะถึงเวลาช่วงอายุที่โป๊ยเซียนจะต้องผ่านมันไปให้ได้แล้วนะ… ตอนนั้นดูกันเอาไว้ช่วงอายุยี่สิบเอ็ดปีเข้ายี่สิบสองปีใช่มั้ย” ชื่อของบุคคลที่อยู่ในบทสนทนาของพ่อกับคนในสายทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นมา โป๊ยเซียนเปรียบเสมือนเพื่อนที่เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กเพราะอยู่บ้านฝั่งตรงข้ามกัน และเราก็ยังอยู่มหาวิทยาลัยที่เดียวกันด้วยเพียงแค่คนละคณะ
“…” ช่วงอายุที่โป๊ยเซียนจะต้องผ่านมันไปให้ได้? หมายความว่าไง…
“ฝันเห็นแก้วตา…อืม เดี๋ยวพรุ่งนี้จะดูให้อีกทีเพื่อความแน่ใจ ทุกอย่างมันมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอบางทีอาจจะพอมีทางแก้ อือ ได้สิ…อือ ได้” ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น แต่สนทนาของพ่อมันกลับดึงความสนใจให้อยากรู้ขึ้นมา
ปึก!
โทรศัพท์ในมือของพ่อถูกวางลงหลังจากวางสายไป ทำให้ตัวเองได้สติกลับมาหลังแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์อยู่นาน
“โป๊ยเซียนเป็นอะไร” ความอยากรู้จึงเลือกที่จะถามพ่อออกไปตรง ๆ ยังไงก็ต้องรู้อยู่แล้ว ไม่ให้ถามตอนนี้แล้วจะให้ถามตอนไหน
“โป๊ยเซียนเข้าช่วงดวงตกที่สุดในชีวิตคือช่วงนี้ เรื่องเนี่ยถึงจะรู้และพยายามเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาดูเหมือนว่าจะมีสิ่งเข้ามาเตือนบ่งบอกได้ถึงความรุนแรงที่จะตามมา” พ่ออธิบายให้เขาได้ฟังอย่างไม่จำเป็นต้องปกปิด ที่บอกว่าฝันเห็นแก้วตาคงจะเป็นโป๊ยเซียนสินะที่เป็นคนฝัน… เพราะแก้วตาก็คือแม่ของเธอที่เสียไปร่วม 10 ปี
“เราจะรู้อะไรได้ขนาดนั้นเลยเหรอ” พูดออกไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าพ่อนั้นรู้ วิชาที่ถูกตกทอดมาตั้งแต่ต้นตระกูลสักวันหนึ่งก็ต้องถูกถ่ายทอดมาที่ตัวเองอยู่ดี
“มึงก็รู้ว่ากูรู้… ว่างมั้ยวาฬ” คำถามจากพ่อทำนิ้วเรียวพี่กำลังไถหน้าจอโทรศัพท์ถึงกับหยุดชะงัก คำถามแบบนี้มีเรื่องอะไรให้ทำแน่ ๆ
“ไม่ว่าง ไม่ว่างเลย โคตรไม่ว่าง คิวแน่นมาก เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็ต้องทำงานต่อ สรุป… ไม่ว่าง” ดวงตาสีน้ำตาลหันไปสบตากับพ่อแล้วพูดย้ำคำตอบของตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ว่างเดียวก็พอ ย้ำอะไรนักหนา” คำพูดคำจาเหมือนตัวเองจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายทั้งที่ความจริงนั้นตรงกันข้าม พูดย้ำขนาดนี้คอยดูเถอะสุดท้ายก็ยังจะใช้ไปทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการอยู่ดี
“ชอบใช้ทำอะไรแปลก ๆ ก็ต้องย้ำไว้ก่อนว่าไม่ว่าง” โทรศัพท์ในมือถูกวางลงแล้วยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำยกขึ้นดื่ม ระหว่างนั้นแม่บ้านก็เริ่มยกอาหารมาเรียงบนโต๊ะตรงหน้าเรื่อย ๆ
“ถ้าไม่ใช้มึงทำแล้วใครจะทำ”
“ลูกน้องมีเป็นสิบ ทั้งชีวิตใช้แต่ลูกคนเดียวเลยมั้ง”
“ก็มึงเป็นลูกกู”
“ลาออก” เสียงพูดสั้น ๆ และได้ใจความพร้อมกับสายตาหันไปมองทางพ่อ
“อ่าว…ไอ้เวร” พ่อเองก็ตอบกลับมาสั้น ๆ ด้วยเช่นกัน แต่เป็นคำด่านะมันไม่ใช่คำพูด
“เถียงอะไรกันสองคนพ่อลูก กินข้าวได้แล้ว กับข้าวเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วจ้ะ” และแล้วในที่สุดแม่ก็เป็นผู้เข้ามาหยุดการถกเถียงระหว่างเราสองคนในครั้งนี้
“ไม่ได้เถียง แค่คุยกับลูกปกติ” คุยปกติของพ่อ ใช่ถูกแล้ว…เพราะปกติก็ด่าทุกคำ
ต่อให้พ่อจะยิ่งใหญ่และมีอำนาจที่สุดในบ้าน ผู้คนเคารพนับถือและมีชื่อเสียงในวงการมากแค่ไหน สุดท้ายแค่แม่มาก็ต้องเงียบแล้วกินข้าวไป
มองไม่ค่อยออกเลยว่าเป็นคนกลัวเมีย…
(โป๊ยเซียน)
วันต่อมา ณ มหาวิทยาลัย เวลา 15.00 น.
ตึก ตึก ตึก
ฟู่ ~
“ร้อนเป็นบ้าเลย…”
เสียงบ่นที่มาพร้อมกับเสียงพัดลมตัวเล็กที่อยู่ในมือปล่อยลมเป่าหน้าสุกกำลังที่มันจะทำงานได้ ยังไม่สามารถดับความร้อนของอากาศรอบตัวได้เลย รองเท้าคัตชูก้าวเดินไปตามทางหลังลงมาจากตึกคณะ วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีแค่ฉันคนเดียวที่มหาลัยหรือเปล่าเนี่ย ทำไมเพื่อนหายไปไหนหมด!
เขียนฝันวันนี้ไม่มีเรียนไม่รู้ว่าอยู่กับแฟนหรือเปล่าฉันก็ไม่อยากรบกวน ปลาเก๋ามีเรียนแค่ช่วงเช้าตอนนี้กลับบ้านไปแล้วพร้อมแฟนตัวเอง ทิศเหนือทักข้อความไปไม่ตอบไม่รู้อยู่ไหน ตายหรือยังก็ไม่รู้ไม่ก็คงอยู่กับเด็กมันนั่นแหละ
ส่วนตัวเองนั้นพึ่งเรียนเสร็จ ต้องไปหาที่นั่งรอจนกว่าคนรถจะมารับ ฉันต้องสู้อากาศร้อนที่กำลังจะทำให้เป็นบ้า พาให้หงุดหงิดไปหาน้ำหวานเติมเข้าร่างกายสักหน่อยดีกว่าก่อนจะอาระวาทออกมา
“โป๊ยเซียน!!”
ในระหว่างที่กำลังเดินไปทางร้านน้ำในมหาลัย จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อของตัวเองจากฝั่งตรงกันข้ามทำให้หันไปมอง ก็พบกับปลาเก๋าที่กำลังโบกมือไปมาเป็นการเรียกให้ฉันเดินข้ามไปหา เท้าที่กำลังเดินไปข้างหน้าเปลี่ยนทิศทางโดยอัตโนมัติเพื่อข้ามฟากไปหาเพื่อนของตัวเอง
ปลาเก๋าบอกว่ากลับไปแล้วนี่ ทำไมยังอยู่ที่มออีกล่ะ?
ปรี้น!!!
เพียงก้าวเดินได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงแตรรถดังลั่นไปทั่วบริเวณทำให้ฉันได้สติหันไปมองก็พบกับรถกระบะอยู่ในระยะประชิด และเพียงเสี้ยววินาทีที่รับรู้ถึงแรงดึงที่แขนให้ตัวเองก้าวเท้าถอยหลังพ้นจากระยะของรถได้ทันเวลา ร่างเล็กถูกกอดเอาไว้ด้วยแขนของใครบางคนและล้มลงนั่งทับบนตัวของบุคคลที่เข้ามาช่วย
พรึ่บ! ปึก! เคร้ง!!
“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องจากคนรอบตัวดังขึ้นพร้อมกับรถกระบะที่เบรกกระทันหันพอดี ทำให้ท่อนเหล็กเส้นหนึ่งหล่นลงจากรถพุ่งไปข้างหน้าแต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ณ ตรงนั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงวินาที ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงกระหน่ำ หัวใจแทบหลุดออกจากอก รถคันนี้เป็นรถของช่างที่เข้ามาต่อเติมปรับปรุงภายในมหาวิทยาลัยซึ่งจะต้องขับผ่านเส้นทางนี้อยู่บ่อยครั้ง และถ้าหากว่าฉันไม่ได้ถูกช่วยเอาไว้เหล็กที่พุ่งลงมาอาจจะโดนตัวเองอย่างแน่นอน
“ทำไมข้ามถนนไม่แหกตาดูรถเลยวะโป๊ย” เสียงดุคุ้นหูทำให้ฉันหันกลับไปมอง สบตากับผู้ชายที่เข้ามาช่วยตัวเองเอาไว้นั่นคือ…วาฬ
“ไม่เห็นรถ กูไม่รู้เลยว่ารถมา...” ฉันตอบตามความจริงไม่รู้ตัวเลยว่ามีรถกำลังวิ่งมาหรือตอนนั้นอาจจะสนใจแค่ปลาเก๋า และเมื่อนึกขึ้นได้ฉะนั้นก็หันไปมองอย่างอีกฝั่งเพื่อมองหาเพื่อน
“รถคันใหญ่กว่ามึงอีกไอ้โป๊ย ทำไมมองไม่เห็นวะ” วาฬบ่นไม่หยุดปากแล้วขยับตัวลุกขึ้นยืน โดยไม่ลืมที่จะประคองตัวให้ฉันลุกขึ้นด้วยคน
ตอนนี้ความวุ่นวายเกิดขึ้นตรงหน้า อาจารย์ที่อยู่ในบริเวณนี้ก็รีบเข้ามาดูเพราะถ้าหากว่าเหล็กท่อนนั้นพุ่งมาโดนฉันไม่มีทางได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่ เกิดข่าวใหญ่หน้าหนึ่งแน่นอน
“ก็กูสนใจแต่เก๋า ได้ยินแต่เสียงปลาเก๋าเรียกอยู่ทางนั้น” ฉันพยายามอธิบายให้วาฬเข้าใจ ยกนิ้วขึ้นชี้นิ้วไปยังอีกฝั่งพยายามมองหาเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้ปลาเก๋าไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
“กูเดินตามหลังมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้ยินเสียงใครเรียกเห็นแต่มึงที่อยู่ ๆ ก็วิ่งพุ่งตัดหน้ารถออกไป นึกว่าจะฆ่าตัวตาย” คำพูดของวาฬทำให้ฉันเกิดคำถามมากมายในใจ
สิ่งที่คนตรงหน้ากำลังพูดกับสิ่งที่ตัวเองเจอมันไปกันคนละทางและตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องที่วาฬพูดนั้นจะเป็นความจริง เพราะปลาเก๋า… ไม่ได้อยู่ที่นี่
แล้วใครที่เป็นคนเรียกฉัน?